Knowledge Center

CRM คืออะไร ช่วยรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้าได้อย่างไรบ้าง

CRM คืออะไร

ขายของยุคนี้ ไม่ใช่แค่ซื้อมาแล้วขายไป เพราะการขายสินค้าไปได้ครั้งเดียว แล้วต้องหาลูกค้าใหม่เรื่อย ๆ อยู่ตลอด มันเหนื่อยเกินไปครับ และอาจได้ไม่คุ้มเสียอีกด้วย เพราะจะต้องมีค่าใช้จ่ายที่มากขึ้น เพื่อใช้ในการดึงดูดลูกค้าใหม่ เพราะงั้นสิ่งที่สำคัญในการตลาดยุคใหม่จึงเน้นใส่ใจประสบการณ์ของผู้บริโภคเป็นหลัก และหันมาทำ CRM เพื่อที่จะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้ซื้อกับผู้ขาย ให้ผู้ซื้อเกิดความประทับใจจนนำไปสู่การซื้อสินค้าอย่างต่อเนื่อง และรักษาฐานลูกค้า เพื่อให้มีการบอกต่อหรือแนะนำคนใกล้ตัวของเขาให้มาซื้อสินค้าหรือใช้บริการเราได้ในอนาคตครับ

CRM คืออะไร ?

Customer Relationship Management (CRM) คือการบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า ซึ่งหมายถึงวิธีการที่เราจะสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้า โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเพิ่มยอดขายและ เก็บข้อมูลพฤติกรรมของลูกค้าเพื่อรักษาและขยายฐานลูกค้าในระยะยาว การทำ CRM จะช่วยสร้างทัศนคติที่ดีให้กับลูกค้า ให้มีความจงรักภักดีต่อแบรนด์ ต่อสินค้าหรือบริการ  

ประเภทของ CRM มีอะไรบ้าง

หลังจากที่ทำความรู้จักกันไปแล้วว่า CRM คืออะไร มาดูกันดีกว่าครับว่า CRM หรือการรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้า มีกี่ประเภท อะไรบ้าง  

Operational CRM บริหารจัดการ

Operational CRM คือระบบที่ช่วยจัดการข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับลูกค้า เช่น ข้อมูลการติดต่อกับลูกค้า ข้อมูลการบริการ ใบเสนอราคา หรือข้อมูลพฤติกรรมของลูกค้า ซึ่งจะช่วยให้กระบวนการทำงานคล่องตัวและสามารถตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าได้รวดเร็วมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ ยังเป็นส่วนสำคัญของกลยุทธ์ Relationship Marketing หรือการตลาดเชิงสัมพันธ์ ที่ช่วยส่งเสริมให้เกิดความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้า โดยสามารถแบ่งออกเป็น 3 ระบบย่อย ได้แก่

  • Sale Automation (ระบบการขายอัตโนมัติ) ช่วยจัดระเบียบงานขายให้ง่ายขึ้น ลดความซับซ้อนในการติดตามและปิดการขาย 
  • Marketing Automation (ระบบการตลาดอัตโนมัติ) เป็นช่องทางในการทำ PR และโปรโมตสินค้าหรือบริการ เพื่อดึงดูดความสนใจของลูกค้า 
  • Service Automation (ระบบบริการอัตโนมัติ) สนับสนุนให้ลูกค้าได้รับบริการที่ดีที่สุด มักใช้ในระบบ Call Center หรือระบบช่วยเหลือลูกค้า 

Analytical CRM เน้นวิเคราะห์ข้อมูล

Analytical CRM คือระบบที่มุ่งเน้นการวิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า เพื่อนำมาสร้างหรือปรับปรุงแผนการตลาดในการสร้างสัมพันธ์ที่ดีต่อลูกค้า ให้เกิดความประทับใจและซื้อของในระยะยาว การทำความเข้าใจพฤติกรรมของลูกค้าเป็นหัวใจสำคัญของกลยุทธ์ CRM ซึ่งช่วยให้ธุรกิจสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างตรงจุด เช่น ข้อมูลประวัติการซื้อสินค้า ช่องทางการติดต่อที่ลูกค้าใช้บ่อย สินค้าที่ลูกค้าซื้อบ่อย หรือสินค้าใดที่ไม่ได้รับความสนใจ ข้อมูลเกี่ยวกับพฤติกรรมการตลาดของลูกค้า ซึ่งข้อมูลตรงนี้ก็จะช่วยให้คุณสามารถวางแผนกลยุทธ์ที่เหมาะสมในการพัฒนาสินค้าและบริการให้ตรงกับกลุ่มเป้าหมายมากขึ้น  

Collaborative CRM การทำงานร่วมกัน

Collaborative CRM คือระบบที่ช่วยให้การติดต่อกับลูกค้าผ่านช่องทางการสื่อสารที่หลากหลาย อาทิเช่น เบอร์โทรศัพท์ อีเมล เว็บไซต์ แฟกซ์ จดหมาย เป็นตัวช่วยให้จัดเก็บข้อมูลอย่างเป็นระบบ สนับสนุนให้ง่ายต่อการบริการลูกค้า 

ขั้นตอนการทำ CRM มีอะไรบ้าง

CRM ไม่ได้เป็นเพียงแค่การใช้ซอฟต์แวร์หรือระบบเทคโนโลยี แต่เป็นกระบวนการที่ต้องมีการวางแผนและดำเนินการอย่างเป็นระบบเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าอย่างยั่งยืน ทั้งนี้การทำ CRM ประกอบด้วย 4 ขั้นตอน ดังนี้ครับ 

1. การระบุข้อมูลลูกค้า (Identify)  

ขั้นตอนการเก็บข้อมูลของลูกค้า ไม่ว่าจะเป็น ชื่อ-สกุล อายุ อาชีพ ที่อยู่ อีเมล เบอร์โทรศัพท์ และช่องทางการติดต่ออื่น ๆ  

2. วิเคราะห์และจำแนกกลุ่มลูกค้า (Differentiate) 

ขั้นตอนการวิเคราะห์พฤติกรรมของลูกค้า เพราะลูกค้าแต่ละคนมีพฤติกรรมในการซื้อสินค้าที่แตกต่างกัน และเหมือนกันในบางจุด ดังนั้นควรวิเคราะห์ และจัดกลุ่มของลูกค้าเอาไว้  

3. สร้างปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า (Interact)

ขั้นตอนการสร้างปฏิสัมพันธ์กับลูกค้า ติดต่อและปฏิสัมพันธ์กับลูกค้าเพื่อค้นหาและทำความเข้าใจ Painpoint ของลูกค้า เเละช่วยแก้ปัญหาดังกล่าวด้วยสินค้าหรือบริการที่มีอยู่ ก็จะช่วยให้ลูกค้าประทับใจ และสร้างความพึงพอใจต่อแบรนด์ได้ในระยะยาว  

4. ปรับแต่งการสื่อสารและบริการให้เหมาะสมกับลูกค้า (Customize) 

ขั้นตอนการปรับแต่งการนำเสนอสินค้าหรือบริการ ให้มีความเหมาะสมกับลูกค้าแต่ละคน โดยการนำระบบ CRM มาช่วยในการจัดการฐานข้อมูล วิเคราะห์ข้อมูล และเป็นช่องทางในการติดต่อสื่อสาร   

การทำ CRM มีประโยชน์ยังไงบ้าง

1. เพิ่มยอดขายและลดต้นทุนในการดึงดูดลูกค้าใหม่ ๆ

การรักษาความสัมพันธ์อันดีต่อลูกค้าช่วยให้ลูกค้าเชื่อมั่นในตัวแบรนด์ และกลับมาซื้อหรือใช้บริการอย่างต่อเนื่อง เป็นการเพิ่มยอดขายให้กับองค์กร รวมไปถึงการชักชวนคนใกล้ตัวให้รู้จักแบรนด์ ซึ่งช่วยให้แบรนด์ไม่ต้องเสียต้นทุนในการดึงดูด หรือหาลูกค้าใหม่ ๆ อยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็น การโฆษณา หรือการทำแคมเปญต่าง ๆ  

2. ทำงานอย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น 

ไม่ใช้แค่แผนกการขาย แต่รวมถึงทุกฝ่ายที่ทำงานเกี่ยวข้องกับลูกค้า ไม่ว่าจะเป็น การตลาด Customer Service ฝ่ายบัญชี ฝ่ายสินค้าคงคลัง หรือฝ่ายการจัดส่ง เพราะการรวบรวมข้อมูลของลูกค้าไว้ในฐานข้อมูลกลาง ทำให้ทุกฝ่ายประสานงานกันได้ง่ายขึ้น รวดเร็วขึ้น และมีความเข้าใจตรงกัน ทำให้ลดการเกิดความผิดพลาดลงได้ นอกจากนี้ข้อมูลเหล่านั้นยังช่วยในการวางแผนการทำงานในอนาคต เพื่อพัฒนาธุรกิจให้ยั่งยืนอีกด้วย 

3. สร้างมูลค่าเพิ่มให้สินค้าหรือบริการ

เพราะปัจจุบันลูกค้าไม่เพียงแต่หาสินค้าที่ตอบโจทย์ความต้องการ แต่ยังหาร้านค้าหรือผู้ให้บริการที่สร้างความพึงพอใจให้ได้มากที่สุด สิ่งที่ลูกค้าต้องการจึงไม่ใช่แค่คุณค่าจากคุณภาพสินค้าและบริการ แต่เป็นการบริการที่ดี ผู้ขายยิ้มแย้มแจ่มใส พูดจาดี มีมารยาท และใส่ใจต่อลูกค้า ซึ่งตรงนี้เป็นจุดที่จะพึ่งระบบอย่างเดียวไม่ได้ ต้องขึ้นอยู่กับตัวบุคคลด้วยครับ นอกจากนั้นการบริการเฉพาะตัวเป็นการสร้างมูลค่าเพิ่มให้กับเเบรนด์และทำให้แต่ละเเบรนด์แตกต่างกันด้วยครับ 

4. รักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับฐานลูกค้าเก่า 

การรักษาฐานลูกค้าเก่ามีความสำคัญไม่แพ้การหาลูกค้าใหม่ เพราะลูกค้าที่เคยใช้สินค้าและบริการแล้วมีแนวโน้มกลับมาซื้อซ้ำหากได้รับประสบการณ์ที่ดี การทำ CRM ช่วยให้ธุรกิจสามารถติดตามและสื่อสารกับลูกค้าเก่าได้อย่างต่อเนื่อง ผ่านการสื่อสารและการตลาดแบบเฉพาะบุคคล (Personalized Communication & Remarketing) ซึ่งร้านค้าสามารถปรับแต่งให้เหมาะสมกับพฤติกรรมของลูกค้าได้ ไม่ว่าจะเป็นการส่งอีเมล ข้อความ หรือโปรโมชั่นพิเศษที่ตรงกับความต้องการ เช่น การทำตลาดแบบเจาะจงเฉพาะกลุ่ม การใช้ฟีเจอร์ Broadcast แชร์โปรโมชันเฉพาะกลุ่มผ่าน Line OA หรือการใช้ Tag บน Line OA เพื่อทำ Remarketing อย่างตรงจุด

นอกจากนี้ การสร้างความรู้สึกผูกพันกับแบรนด์และเพิ่มความภักดี (Brand Loyalty) ยังสามารถทำได้ผ่าน โปรแกรมสร้างความภักดี (Loyalty Program) ที่ออกแบบมาเพื่อลูกค้าโดยเฉพาะ ซึ่งจะช่วยลดโอกาสที่ลูกค้าจะเปลี่ยนไปใช้บริการของคู่แข่ง ตัวอย่างเช่น ระบบสะสมแต้ม การแบ่งระดับสมาชิก VIP Tier ของขวัญวันเกิด (Birthday Rewards) หรือสิทธิพิเศษสำหรับสมาชิก (Member-Exclusive Deals) โดยลูกค้าบน Marketplace สามารถมีส่วนร่วมได้ง่ายๆ เพียงสแกน QR Code จากกล่องสินค้าเพื่อรับแต้มได้ทันที กลยุทธ์เหล่านี้จะช่วยเปลี่ยนลูกค้าขาจรให้กลายเป็นลูกค้าประจำ ควบคู่ไปกับการให้ความสำคัญกับลูกค้าเก่าและดูแลอย่างใกล้ชิด ซึ่งไม่เพียงแค่ยอดขายที่เพิ่มขึ้น แต่ยังช่วยสร้างภาพลักษณ์ที่ดีให้กับแบรนด์อีกด้วย

5. ช่วยให้ธุรกิจสามารถเติบโตได้อย่างยั่งยืน 

การทำ CRM ไม่เพียงช่วยเพิ่มยอดขายเพียงเท่านั้น แต่ยังเป็นรากฐานสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืน เนื่องจากมีฐานข้อมูลลูกค้าที่ครบถ้วนช่วยให้ธุรกิจสามารถวางแผนกลยุทธ์ทางการตลาดและพัฒนาสินค้าหรือบริการให้ตรงกับความต้องการของลูกค้าได้มากขึ้น 

นอกจากนี้ ข้อมูลเชิงลึกจาก CRM ที่จะแสดงผลออกมาในรูปแบบ Virtual Representation ช่วยดูง่าย และยังช่วยให้ธุรกิจสามารถคาดการณ์แนวโน้มตลาด ปรับปรุงการให้บริการ รวมถึงเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงานให้ดียิ่งขึ้น ธุรกิจที่สามารถรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้าได้ดี จะมีโอกาสเติบโตและแข่งขันในตลาดได้อย่างต่อเนื่อง ลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาลูกค้าใหม่เพียงอย่างเดียวและสามารถสร้างคุณค่าให้กับแบรนด์ได้ในระยะยาว 

หัวใจของการทำ CRM 

หัวใจของการทำ CRM (Customer Relationship Management) คือการสร้างและรักษาความสัมพันธ์ที่ดีกับลูกค้าอย่างยั่งยืน เพื่อเพิ่มความพึงพอใจและความภักดีของลูกค้า ซึ่งจะส่งผลให้ธุรกิจเติบโตอย่างมั่นคง ถ้าแบ่งเป็นประเด็นหลัก ๆ หัวใจของการทำ CRM มีดังนี้ครับ 

  1. การรู้จักและเข้าใจลูกค้า (Customer Insight) รวบรวมข้อมูลลูกค้า วิเคราะห์พฤติกรรม ความต้องการ และความชอบ เพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่เหมาะสมและตอบโจทย์ได้ตรงจุด 
  2. การสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ (Effective Communication) ติดต่อสื่อสารกับลูกค้าอย่างต่อเนื่องและตรงตามความต้องการ เช่น การส่งโปรโมชั่นที่เหมาะสม การดูแลหลังการขาย หรือการให้คำแนะนำเฉพาะบุคคล 
  3. การสร้างประสบการณ์ที่ดีให้ลูกค้า (Customer Experience) มอบบริการและประสบการณ์ที่น่าประทับใจในทุกจุดสัมผัสกับลูกค้า เพื่อสร้างความรู้สึกผูกพันและความไว้วางใจ 
  4. การจัดการข้อมูลอย่างเป็นระบบ (Data Management) ใช้เทคโนโลยีและระบบ CRM เพื่อจัดเก็บ วิเคราะห์ และติดตามข้อมูลลูกค้าอย่างแม่นยำและรวดเร็ว 
  5. การสร้างความภักดี (Customer Loyalty) ทำให้ลูกค้ารู้สึกมีคุณค่า และต้องการกลับมาซื้อซ้ำหรือใช้บริการอย่างต่อเนื่อง ผ่านโปรแกรมสะสมแต้ม การให้สิทธิพิเศษหรือบริการหลังการขาย 
  6. การปรับปรุงและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง (Continuous Improvement) รับฟังความคิดเห็นลูกค้าและนำไปปรับปรุงสินค้า บริการ และการสื่อสาร เพื่อให้ตรงใจและเพิ่มคุณค่าต่อไป

CRM B2B แตกต่างจาก CRM B2C อย่างไร

CRM ใน B2B และ B2C มีความแตกต่างกันในหลายด้าน เนื่องจากลักษณะของลูกค้าและกระบวนการขายที่แตกต่างกัน สำหรับ B2B (Business-to-Business) CRM จะมุ่งเน้นไปที่การสร้างและบริหารความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้าองค์กร ซึ่งมักมีวงจรการขายที่ยาวนาน การตัดสินใจซับซ้อนและมีหลายฝ่ายที่เกี่ยวข้อง การสื่อสารจึงต้องมีความละเอียดและมุ่งเน้นที่คุณค่าทางธุรกิจเป็นหลัก นอกจากนี้ ยังเน้นไปที่การบริหารข้อมูลเชิงลึกเกี่ยวกับลูกค้า เช่น ประวัติการซื้อ พฤติกรรมและความต้องการเฉพาะของแต่ละองค์กร 

ในขณะที่ B2C (Business-to-Consumer) CRM มุ่งเน้นไปที่การบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้ารายบุคคลที่มักตัดสินใจซื้ออย่างรวดเร็วและอิงอารมณ์มากกว่า CRM ใน B2C จึงให้ความสำคัญกับการตลาดเชิงรุก การใช้ข้อมูลพฤติกรรมผู้บริโภคและระบบอัตโนมัติ เช่น การส่งโปรโมชั่นและการวิเคราะห์แนวโน้มการซื้อเพื่อเพิ่มยอดขาย 

อุปสรรคของการใช้ระบบ CRM

อย่างไรก็ตามระบบอัตโนมัติต้องอาศัยคนในการควบคุมครับ ดังนั้นการให้ความรู้ ความเข้าใจเกี่ยวกับระบบต่อผู้ที่เกี่ยวข้องก็เป็นเรื่องที่สำคัญมากครับ เพราะในส่วนของการทำงานแบบอัตโนมัติ ไม่ควรปล่อยให้หน้าที่ของระบบเพียงอย่างเดียว เพราะมีความเสี่ยงต่อการถูกแฮ็กข้อมูลได้ ที่สำคัญองค์กรต้องวางแผนการแก้ไขปัญหาตั้งแต่แรก เพราะหากข้อมูลหรือการทำงานผิดพลาดตั้งแต่แรก การทำงานในขั้นตอนถัด ๆ มาก็อาจเกิดปัญหาได้

ตัวอย่าง ผู้ให้บริการ CRM Software ที่เป็นที่นิยมในตลาด ได้แก่

Zoho, Microsoft Dynamic CRM, Sugar CRM, Signify CRM, Pipedrive, Insightly และ Salesforce ครับ

ขั้นตอนการทำงานของ CRM

        จากภาพจะเห็นได้ชัดเลยนะครับว่ากว่าที่คนทั่วไปจะมาเป็นลูกค้าของเราได้นั้น ต้องผ่านหลายฝ่าย หลายกระบวนการพอสมควร ดังนั้นการขายไม่ได้เกี่ยวข้องแค่เฉพาะ Sale เท่านั้น แต่รวมไปถึงการรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้าให้ยืนยาวต่อไปนั้น ขึ้นอยู่กับทุกขั้นตอนของการขาย ไม่ว่าจะเป็น

          ก่อนการขาย ผู้ขายต้องมีความอดทนและมีใจรักงานขายเพราะทัศนคติของพนักงานนั้นจะส่งผลโดยตรงต่อประสิทธิภาพของงานด้วยครับ ผู้ขายที่ดี ต้องเข้าใจปัญหาของลูกค้า รู้ว่าลูกค้าต้องการอะไร หรือมีปัญหาอะไรถึงต้องการสินค้าของเราไปแก้

          ระหว่างการขาย การสื่อสารกับลูกค้าระหว่างการขายนี้จึงต้องคำนึงถึงความพึงพอใจหรือความต้องการซื้อของลูกค้าเป็นหลัก ควรจะเป็นการขายที่เสนอทางเลือกให้กับลูกค้า และให้คำแนะนำแก่ลูกค้า เพื่อตอบโจทย์ หรือแก้ปัญหาของลูกค้าได้จริง ๆ การสื่อสารอย่างมีมารยาทและถูกต้องครบถ้วนเป็นสิ่งสำคัญ

          หลังการขาย สร้างความสัมพันธ์ลูกค้าต่อเนื่อง เสมอต้นเสมอปลาย นอกจากการติดตามผลหลังการขายที่ควรจะมีเพื่อ สอบถามความพึงพอใจ หากมีจุดที่ต้องแก้ไขและพัฒนาให้ดียิ่งขึ้น การใส่ใจรายละเอียดเล็ก ๆ น้อย ๆ ของลูกค้าได้ก็เป็นอีกสิ่งหนึ่งที่สำคัญด้วยครับ

สรุปบทความ

มาถึงตรงนี้สามารถสรุปได้ว่า CRM หรือการบริหารความสัมพันธ์กับลูกค้า คือเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้ธุรกิจสร้างและรักษาความสัมพันธ์อันดีระหว่างลูกค้ากับแบรนด์ โดยไม่ใช่แค่การขายสินค้าเพียงครั้งเดียว แต่เป็นการสร้างความประทับใจและความภักดีในระยะยาว ผ่านการเก็บข้อมูล วิเคราะห์พฤติกรรม และการสื่อสารอย่างตรงจุด ทั้งยังช่วยเพิ่มยอดขาย ลดต้นทุนการหาลูกค้าใหม่ และส่งเสริมการทำงานร่วมกันของทุกฝ่ายในองค์กร อย่างไรก็ตาม การใช้ระบบ CRM ให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ต้องอาศัยการวางแผนที่ดีและการดูแลควบคุมจากคน เพื่อให้ธุรกิจเติบโตอย่างมั่นคงและยั่งยืนในยุคการแข่งขันที่สูงขึ้นนี้ครับ 

อยากให้การดูแลลูกค้าและการจัดการออเดอร์เป็นเรื่องง่ายไหมครับ? MyCloud Fulfillment เราได้พัฒนาระบบรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้า MyCloud CRM เครื่องมือที่จะช่วยรวบรวมข้อมูลลูกค้าทั้งหมดของคุณ ซึ่งจะช่วยให้คุณเห็นภาพรวมและพฤติกรรมของลูกค้าได้อย่างชัดเจน และที่สำคัญยังสามารถใช้งานร่วมกับ Fulfillment Service ได้อีกด้วย ช่วยลดขั้นตอนที่วุ่นวาย ทำให้การทำงานเร็วขึ้นและมอบประสบการณ์ที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าของคุณได้อย่างแน่นอน

สนใจศึกษาและลงทะเบียนได้ที่ www.mycloudfulfillment.com 

หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม

โทร: 092-472-7742, 02-138-9920

อีเมล: [email protected] 

line: @mycloudgroup

MyCloudFulfillment ขายของง่ายไม่ต้องแตะสต๊อก

บริการคลังสินค้าออนไลน์ เก็บ แพ็ค ส่ง ครบวงจร

บทความที่เกี่ยวข้อง

อ่านเพิ่มเติม

Tellscore จับมือ MyCloudFulfillment และ SCB SMEs เปิดตัว Tellscore Shop

         Tellscore ตอกย้ำการเป็นผู้นำธุรกิจ Influencer Marketing อันดับหนึ่งของประเทศไทย ที่มีระบบบริหารจัดการอินฟูลเอนเซอร์ครบวงจรที่ใหญ่ที่สุด เตรียมเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจด้วยการเปิดตัว อินฟลูเอนเซอร์ อีคอมเมิร์ซ แพลตฟอร์ม ภายใต้ชื่อ Tellscore Shop ซึ่งเน้นการตลาดแบบ Influencer Referral Marketing ที่สามารถตอบโจทย์ทางธุรกิจให้กับแบรนด์ที่ต้องการสร้างยอดขายและเพิ่มช่องทางในการขายสินค้าได้ โดยตั้งเป้าเป็นอีกหนึ่งช่องทางการตลาดรูปแบบใหม่ให้กับแบรนด์ และนักการตลาด ตอบโจทย์ธุรกิจอีคอมเมิร์ซยุคใหม่ที่กําลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด ซึ่งนอกจากแบรนด์จะได้รับคอนเทนต์ รีวิวแล้ว ยังสามารถสร้างยอดขายผ่านการขายจากอินฟลูเอนเซอร์ได้อีกด้วย           โดยครั้งนี้ Tellscore โดย คุณสุวิตา จรัญวงศ์ ประธานกรรมการบริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง และ คุณอภัศรา ซิการี่ โกศัลวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ ร่วมมือกับ MyCloudFulfillment บริษัทคลังสินค้าออนไลน์อันดับหนึ่ง ผู้ให้บริการ Order Fulfillment ด้วยการ เก็บ-แพ็ค-ส่ง สําหรับธุรกิจออนไลน์ ที่มาพร้อมกับระบบจัดการออเดอร์ (OMS) […]

5 สาเหตุที่ลูกค้า”ไม่ซื้อซ้ำ” และแบรนด์มักมองข้าม

เคยมั้ย? ลูกค้าเคยสั่งซื้อ ได้ของครบ ไม่มีคอมเมนต์อะไร แต่หลังจากนั้นก็เงียบหาย ไม่ซื้อซ้ำ อีกเลย ทั้งที่เราก็รู้สึกว่าทำได้ดีแล้วทุกขั้นตอน นี่อาจไม่ใช่เพราะสินค้าคุณไม่ดี แต่เป็นเพราะ “หลังการขาย” ยังไม่ตอบโจทย์เท่าที่ควร หลายแบรนด์มุ่งหาลูกค้าใหม่จนลืมไปว่า ลูกค้าเก่าคือกำลังหลักที่สร้างยอดขายอย่างมั่นคง ถ้าคุณทำให้คนที่เคยซื้อแล้วกลับมาอีกครั้งได้ ยอดขายก็ไม่ต้องพึ่งแค่โฆษณาเสมอไป บทความนี้จะพาไปดู 5 สาเหตุที่ทำให้ลูกค้าไม่อยากกลับมาเป็น “ลูกค้าประจำ” ทั้งเรื่องประสบการณ์หลังการซื้อ การสื่อสารที่หายไป UX ที่ไม่เป็นมิตร รวมถึงสิ่งเล็กๆ ที่อาจเป็นจุดเปลี่ยนให้ลูกค้าตัดสินใจ “ไม่กลับมาอีก”ถ้าแบรนด์ของคุณกำลังเจอปัญหานี้ บทความนี้มีคำตอบค่ะ 5 สาเหตุหลักที่ลูกค้า ไม่ซื้อซ้ำ 1. ประสบการณ์หลังการขายไม่ประทับใจ ลูกค้าหลายคนอาจรู้สึกดีในขั้นตอนการสั่งซื้อ แต่ความประทับใจนั้นจะหายไปทันทีถ้าเจอปัญหา แพ็กของล่าช้า ได้ของไม่ครบ หรือไม่มีการแจ้งเตือนใดๆ หลังจากสั่งซื้อไปแล้ว ยิ่งถ้าไม่มีระบบติดตามสถานะพัสดุให้ลูกค้าเช็คเองได้ ลูกค้าก็จะรู้สึกเหมือนโดนทิ้ง และไม่มั่นใจว่าจะกล้าสั่งรอบต่อไปหรือไม่ เพราะไม่รู้ว่าจะต้องลุ้นแบบนี้อีกหรือเปล่า MyCloud Fulfillment ด้วยบริการคลังสินค้าออนไลน์ที่จัดการให้ตั้งแต่ เก็บสินค้า แพ็กสินค้า จัดส่งออเดอร์มอบให้ขนส่งเข้ามารับพัสดุทุกวัน ส่งผลให้ลูกค้าปลายทางได้รับสินค้าที่เร็วทันใจ เพราะคลังสินค้าเปิดให้บริการ 365 วัน แพ็กออเดอร์ตลอด 24 […]

SLA คืออะไร กับ 3 ตัวชี้วัด Marketplace ที่คนขายออนไลน์จะต้องรู้

ถ้าให้พูดถึงการซื้อขายผ่านช่องทางออนไลน์ที่ได้รับความนิยมในปัจจุบันนี้ก็คงเป็นช่องทาง Marketplace ที่ทุกคนรู้จักกันดีอย่างช่องทางการขาย Lazada, Shopee, TikTok Shop ซึ่งแน่นอนว่าการที่ได้รับความสนใจสิ่งที่เพิ่มมากขึ้นตามมาด้วยก็คือการแข่งขันของร้านค้าออนไลน์ใน Marketplace เพราะประเภทสินค้าที่เหมือนกันหรือมีความคล้ายกันก็จะทำให้ผู้ซื้อเกิดการเปรียบเทียบก่อนซื้อ และเพื่อป้องกันความเสี่ยงต่าง ๆ ร้านค้าออนไลน์ควรต้องคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ เพื่อให้สามารถแข่งขันกับคู่แข่งได้และทำให้แบรนด์เติบโตได้ในระยะยาว  SLA คือข้อตกลงระดับการให้บริการที่ผู้ขายต้องปฏิบัติตาม ดังนั้น บทความนี้เราจะมาพูดถึงปัจจัยที่เป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้ร้านค้ามีเรตติ้งคะแนนร้านค้าที่ดีและเป็นส่วนช่วยทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้น อีกทั้งยังช่วยเพิ่มความพึงพอใจให้กับลูกค้าได้อีกด้วยนั้นก็คือ SLA (Service Level Agreement) แน่นอนว่าการมีเรตติ้งร้านค้าที่ดีนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากความคาดหวังของลูกค้ามีสูงขึ้นเรื่อย ๆ การรักษามาตรฐาน SLA ที่ดีจะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า ทั้งในเรื่องของความรวดเร็วในการจัดการออเดอร์ไปจนถึงจัดส่ง คุณภาพของสินค้าที่ตรงตามที่ระบุ และการให้บริการลูกค้าอย่างมืออาชีพ ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นปัจจัยที่ส่งผลโดยตรงต่อความสำเร็จและความยั่งยืนของธุรกิจในระยะยาว  SLA คืออะไร?  Service Level Agreement หรือ SLA คือข้อตกลงในการให้บริการระหว่างร้านค้าและแพลตฟอร์มการขาย ซึ่งก็จะเป็นในส่วนข้อตกลงในการให้บริการเพื่อวัดคุณภาพการจัดส่งของร้านค้า การที่ร้านค้าปฏิบัติตามข้อตกลง SLA ของแพลตฟอร์มจะช่วยให้ร้านค้า ไม่โดนคะแนนบทลงโทษ สามารถเข้าร่วมแคมเปญใหญ่ ๆ เพิ่มโอกาสในการขาย และสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า SLA ประกอบไปด้วยอะไรบ้าง  การทำธุรกิจออนไลน์บน Marketplace […]

Tellscore จับมือ MyCloudFulfillment และ SCB SMEs เปิดตัว Tellscore Shop

         Tellscore ตอกย้ำการเป็นผู้นำธุรกิจ Influencer Marketing อันดับหนึ่งของประเทศไทย ที่มีระบบบริหารจัดการอินฟูลเอนเซอร์ครบวงจรที่ใหญ่ที่สุด เตรียมเสริมความแข็งแกร่งให้กับธุรกิจด้วยการเปิดตัว อินฟลูเอนเซอร์ อีคอมเมิร์ซ แพลตฟอร์ม ภายใต้ชื่อ Tellscore Shop ซึ่งเน้นการตลาดแบบ Influencer Referral Marketing ที่สามารถตอบโจทย์ทางธุรกิจให้กับแบรนด์ที่ต้องการสร้างยอดขายและเพิ่มช่องทางในการขายสินค้าได้ โดยตั้งเป้าเป็นอีกหนึ่งช่องทางการตลาดรูปแบบใหม่ให้กับแบรนด์ และนักการตลาด ตอบโจทย์ธุรกิจอีคอมเมิร์ซยุคใหม่ที่กําลังเติบโตอย่างก้าวกระโดด ซึ่งนอกจากแบรนด์จะได้รับคอนเทนต์ รีวิวแล้ว ยังสามารถสร้างยอดขายผ่านการขายจากอินฟลูเอนเซอร์ได้อีกด้วย           โดยครั้งนี้ Tellscore โดย คุณสุวิตา จรัญวงศ์ ประธานกรรมการบริหารและผู้ร่วมก่อตั้ง และ คุณอภัศรา ซิการี่ โกศัลวัฒน์ กรรมการผู้จัดการ ร่วมมือกับ MyCloudFulfillment บริษัทคลังสินค้าออนไลน์อันดับหนึ่ง ผู้ให้บริการ Order Fulfillment ด้วยการ เก็บ-แพ็ค-ส่ง สําหรับธุรกิจออนไลน์ ที่มาพร้อมกับระบบจัดการออเดอร์ (OMS) […]

5 สาเหตุที่ลูกค้า”ไม่ซื้อซ้ำ” และแบรนด์มักมองข้าม

เคยมั้ย? ลูกค้าเคยสั่งซื้อ ได้ของครบ ไม่มีคอมเมนต์อะไร แต่หลังจากนั้นก็เงียบหาย ไม่ซื้อซ้ำ อีกเลย ทั้งที่เราก็รู้สึกว่าทำได้ดีแล้วทุกขั้นตอน นี่อาจไม่ใช่เพราะสินค้าคุณไม่ดี แต่เป็นเพราะ “หลังการขาย” ยังไม่ตอบโจทย์เท่าที่ควร หลายแบรนด์มุ่งหาลูกค้าใหม่จนลืมไปว่า ลูกค้าเก่าคือกำลังหลักที่สร้างยอดขายอย่างมั่นคง ถ้าคุณทำให้คนที่เคยซื้อแล้วกลับมาอีกครั้งได้ ยอดขายก็ไม่ต้องพึ่งแค่โฆษณาเสมอไป บทความนี้จะพาไปดู 5 สาเหตุที่ทำให้ลูกค้าไม่อยากกลับมาเป็น “ลูกค้าประจำ” ทั้งเรื่องประสบการณ์หลังการซื้อ การสื่อสารที่หายไป UX ที่ไม่เป็นมิตร รวมถึงสิ่งเล็กๆ ที่อาจเป็นจุดเปลี่ยนให้ลูกค้าตัดสินใจ “ไม่กลับมาอีก”ถ้าแบรนด์ของคุณกำลังเจอปัญหานี้ บทความนี้มีคำตอบค่ะ 5 สาเหตุหลักที่ลูกค้า ไม่ซื้อซ้ำ 1. ประสบการณ์หลังการขายไม่ประทับใจ ลูกค้าหลายคนอาจรู้สึกดีในขั้นตอนการสั่งซื้อ แต่ความประทับใจนั้นจะหายไปทันทีถ้าเจอปัญหา แพ็กของล่าช้า ได้ของไม่ครบ หรือไม่มีการแจ้งเตือนใดๆ หลังจากสั่งซื้อไปแล้ว ยิ่งถ้าไม่มีระบบติดตามสถานะพัสดุให้ลูกค้าเช็คเองได้ ลูกค้าก็จะรู้สึกเหมือนโดนทิ้ง และไม่มั่นใจว่าจะกล้าสั่งรอบต่อไปหรือไม่ เพราะไม่รู้ว่าจะต้องลุ้นแบบนี้อีกหรือเปล่า MyCloud Fulfillment ด้วยบริการคลังสินค้าออนไลน์ที่จัดการให้ตั้งแต่ เก็บสินค้า แพ็กสินค้า จัดส่งออเดอร์มอบให้ขนส่งเข้ามารับพัสดุทุกวัน ส่งผลให้ลูกค้าปลายทางได้รับสินค้าที่เร็วทันใจ เพราะคลังสินค้าเปิดให้บริการ 365 วัน แพ็กออเดอร์ตลอด 24 […]

SLA คืออะไร กับ 3 ตัวชี้วัด Marketplace ที่คนขายออนไลน์จะต้องรู้

ถ้าให้พูดถึงการซื้อขายผ่านช่องทางออนไลน์ที่ได้รับความนิยมในปัจจุบันนี้ก็คงเป็นช่องทาง Marketplace ที่ทุกคนรู้จักกันดีอย่างช่องทางการขาย Lazada, Shopee, TikTok Shop ซึ่งแน่นอนว่าการที่ได้รับความสนใจสิ่งที่เพิ่มมากขึ้นตามมาด้วยก็คือการแข่งขันของร้านค้าออนไลน์ใน Marketplace เพราะประเภทสินค้าที่เหมือนกันหรือมีความคล้ายกันก็จะทำให้ผู้ซื้อเกิดการเปรียบเทียบก่อนซื้อ และเพื่อป้องกันความเสี่ยงต่าง ๆ ร้านค้าออนไลน์ควรต้องคำนึงถึงปัจจัยต่าง ๆ เพื่อให้สามารถแข่งขันกับคู่แข่งได้และทำให้แบรนด์เติบโตได้ในระยะยาว  SLA คือข้อตกลงระดับการให้บริการที่ผู้ขายต้องปฏิบัติตาม ดังนั้น บทความนี้เราจะมาพูดถึงปัจจัยที่เป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้ร้านค้ามีเรตติ้งคะแนนร้านค้าที่ดีและเป็นส่วนช่วยทำให้ยอดขายเพิ่มขึ้น อีกทั้งยังช่วยเพิ่มความพึงพอใจให้กับลูกค้าได้อีกด้วยนั้นก็คือ SLA (Service Level Agreement) แน่นอนว่าการมีเรตติ้งร้านค้าที่ดีนั้นไม่ใช่เรื่องง่าย เนื่องจากความคาดหวังของลูกค้ามีสูงขึ้นเรื่อย ๆ การรักษามาตรฐาน SLA ที่ดีจะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้า ทั้งในเรื่องของความรวดเร็วในการจัดการออเดอร์ไปจนถึงจัดส่ง คุณภาพของสินค้าที่ตรงตามที่ระบุ และการให้บริการลูกค้าอย่างมืออาชีพ ซึ่งทั้งหมดนี้ล้วนเป็นปัจจัยที่ส่งผลโดยตรงต่อความสำเร็จและความยั่งยืนของธุรกิจในระยะยาว  SLA คืออะไร?  Service Level Agreement หรือ SLA คือข้อตกลงในการให้บริการระหว่างร้านค้าและแพลตฟอร์มการขาย ซึ่งก็จะเป็นในส่วนข้อตกลงในการให้บริการเพื่อวัดคุณภาพการจัดส่งของร้านค้า การที่ร้านค้าปฏิบัติตามข้อตกลง SLA ของแพลตฟอร์มจะช่วยให้ร้านค้า ไม่โดนคะแนนบทลงโทษ สามารถเข้าร่วมแคมเปญใหญ่ ๆ เพิ่มโอกาสในการขาย และสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า SLA ประกอบไปด้วยอะไรบ้าง  การทำธุรกิจออนไลน์บน Marketplace […]