Knowledge Center

บริษัทขนส่งมีอะไรบ้าง รวมบริษัทขนส่งเจ้าไหนที่ตอบโจทย์ธุรกิจของคุณที่สุด

เมื่อตลาด E-Commerce เติบโตขึ้น ธุรกิจที่เกี่ยวข้องก็ขยายตามไปด้วย หนึ่งในนั้นคือธุรกิจการขนส่ง (Logistic) ที่เรียกได้ว่าเป็นธุรกิจที่ฆ่าไม่ตาย อยู่ในทุกยุคทุกสมัย ยิ่งโลกพัฒนาไปไกลเท่าไร ระบบขนส่งก็จะเติบโตไปด้วยเท่านั้นเลยก็ว่าได้

ปัจจุบันบริการขนส่งสินค้า-พัสดุของไทยมีการแข่งขันที่สูงมาก ทั้งเจ้าใหญ่ ๆ ที่เราคุ้นหน้าคุ้นตากัน หรือน้องใหม่ที่พึ่งเข้ามาแต่บริการประทับใจไม่แพ้กัน ทำเอาหลาย ๆ คนอดสงสัยไม่ได้ว่า จริง ๆ แล้ว แต่ละบริษัท มีข้อดี หรือจุดเด่นตรงไหนบ้าง เพราะบางคนอาจจะใช้ความเคยชิน เคยใช้เจ้านี้แล้วก็ใช้ตลอด วันนี้ผมมีสรุปคร่าว ๆ ของบริษัทขนส่งมาให้ลองอ่านกันดูว่าเจ้าไหนคุ้มค่า หรือตอบโจทย์ธุรกิจคุณมากที่สุด เผื่อจะเลือกใช้ได้หลากหลายขึ้นครับ

รวม 10 บริษัทขนส่งสินค้า มีอะไรบ้าง

1. ไปรษณีย์ไทย (Thailand Post) 

หากพูดถึงการขนส่งพัสดุ จะไม่กล่าวถึง “ไปรษณีย์ไทย” ไม่ได้เลยครับ เพราะเป็นผู้ให้บริการรายใหญ่ที่ครองใจใครหลาย ๆ คน ไปรษณีย์ไทย เป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจที่เปิดให้บริการในทุกจังหวัด นอกจากความน่าเชื่อถือที่เปิดให้บริการมานานแล้วยังมีการปรับปรุงการให้บริการอย่างสม่ำเสมอ ยกตัวอย่างเช่น ระบบ Prompt Post ที่ช่วยจ่าหน้าผู้รับสินค้าสำหรับติดบนกล่องไปรษณีย์ และคิดราคาค่าฝากส่งให้เสร็จสรรพ ซึ่งสะดวกสบายต่อผู้ส่งอย่างมาก อีกทั้งค่าบริการก็คิดจากน้ำหนักจริงของพัสดุ ไม่คิดค่า Dimension อีกด้วยครับ 

จุดเด่นของไปรษณีย์ไทย (Thailand Post) 

  • ครอบคลุมทั่วประเทศ มีจุดบริการทั่วทุกจังหวัด ทำให้เข้าถึงได้ง่ายและสะดวก 
  • เชื่อถือได้ เป็นหน่วยงานรัฐวิสาหกิจที่เปิดให้บริการมายาวนาน มีความน่าเชื่อถือสูง
  • Prompt Post ช่วยให้พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์จัดเตรียมการฝากส่งล่วงหน้าทางไปรษณีย์ได้รวดเร็วมากขึ้น 
  • คิดค่าบริการตามน้ำหนักจริง ไม่คิดค่าบริการจากขนาดของพัสดุ (Dimension Weight) ทำให้ค่าส่งมีคุ้มค่าสำหรับพัสดุที่มีขนาดใหญ่แต่น้ำหนักไม่มาก  
  • สามารถติดตามสถานะพัสดุได้ ทั้งทางเว็บไซต์ และทาง LINE @ThailandPost ได้ 

ค่าบริการเริ่มต้นของไปรษณีย์ไทย (Thailand Post) 

ค่าบริการของไปรษณีย์ไทยขึ้นอยู่กับประเภทบริการและน้ำหนักของพัสดุ โดยทั่วไปมีค่าบริการเริ่มต้น ดังนี้

  • บริการลงทะเบียน (Registered Mail) เริ่มต้นประมาณ 20 บาท น้ำหนักเริ่มต้น 20 กรัม 
  • บริการอีเอ็มเอส (EMS) เริ่มต้นประมาณ 32 บาท น้ำหนักเริ่มต้น 20 กรัม 

หมายเหตุ ราคาดังกล่าวเป็นราคาเริ่มต้นโดยประมาณและอาจมีการเปลี่ยนแปลง โปรดตรวจสอบอัตราค่าบริการที่ถูกต้องจากเว็บไซต์ไปรษณีย์ไทยหรือ ณ ที่ทำการไปรษณีย์โดยตรง 

ระยะเวลาการจัดส่งของไปรษณีย์ไทย (Thailand Post) 

ระยะเวลาการจัดส่งของไปรษณีย์ไทยจะแตกต่างกันไปตามประเภทบริการและปลายทาง 

  • ส่งแบบอีเอ็มเอส (EMS) โดยทั่วไปใช้เวลา 1 – 3 วันทำการ (สำหรับปลายทางในประเทศ) 
  • ส่งแบบลงทะเบียน (Registered Mail) โดยทั่วไปใช้เวลา 2 – 5 วันทำการ (สำหรับปลายทางในประเทศ)  

หมายเหตุ ระยะเวลาการจัดส่งอาจมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นอยู่กับปัจจัยต่าง ๆ เช่น วันหยุดราชการ ปริมาณพัสดุในช่วงเทศกาล หรือเหตุสุดวิสัยอื่น ๆ  

2. KEX Express 

Kerry Express หรือที่ปัจจุบันได้มีการรีแบรนด์ในชื่อ KEX เป็นบริษัทขนส่งที่มีจุดให้บริการกว่า 15,000 แห่งทั่วประเทศไทย ทั้งจุดให้บริการตามสถานีรถไฟฟ้า BTS และล็อกเกอร์ตามสำนักงาน การจัดส่งรวดเร็ว เหมาะสำหรับธุรกิจขายของออนไลน์ (E-Commerce)  

จุดเด่นของ KEX Express  

KEX Express โดดเด่นด้วยบริการที่หลากหลายและครอบคลุม ดังนี้

  • เครือข่ายครอบคลุมทั่วประเทศ มีจุดให้บริการจำนวนมากทั่วประเทศ รวมถึงล็อกเกอร์ 24 ชั่วโมงในกรุงเทพฯ และปริมณฑล
  • ความรวดเร็วและน่าเชื่อถือ เป็นผู้นำด้านการจัดส่งพัสดุด่วน โดยมีการจัดส่งพัสดุถึงปลายทางในวันถัดไปครอบคลุมกว่า 99.9% ทั่วประเทศ
  • บริการเก็บเงินปลายทาง (COD) มีบริการเก็บเงินปลายทาง 
  • บริการเรียกรถเข้ารับพัสดุ อำนวยความสะดวกให้ผู้ส่งไม่ต้องเดินทางไปที่จุดบริการ 

ค่าบริการเริ่มต้นของ KEX Express  

ค่าบริการเริ่มต้นของ KEX Express จะเริ่มต้นที่ 27 บาท สำหรับพื้นที่ห่างไกลมีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม 50 บาทต่อพัสดุ และบริการ COD เรียกเก็บเงินปลายทาง จะมีค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมอีก 2.4% 

หมายเหตุ ราคาอาจมีการเปลี่ยนแปลงขึ้นอยู่กับน้ำหนักและขนาดของพัสดุ รวมถึงระยะทางในการจัดส่ง

ระยะเวลาการจัดส่งของ KEX Express 

ระยะเวลาการจัดส่งของ KEX Express จะอยู่ที่ประมาณ 1 – 3 วันทำการ และสำหรับบริการเสริม ส่งพัสดุด่วนก่อนเที่ยง (AM) จะได้รับพัสดุภายในเที่ยงของวันถัดไป โดยสามารถแจ้งความประสงค์ได้ที่ร้าน KEX ทุกสาขา  

3. Flash Express 

Flash Express เป็นหนึ่งในบริษัทขนส่งเอกชนที่เติบโตอย่างรวดเร็วในประเทศไทย ให้บริการจัดส่งพัสดุทั้งแบบบุคคลทั่วไปและแบบธุรกิจ จุดเด่นคือการให้บริการรับพัสดุถึงหน้าบ้านโดยไม่มีค่าใช้จ่ายขั้นต่ำ อีกทั้งยังมีระบบติดตามสถานะพัสดุแบบเรียลไทม์ รองรับการส่งพัสดุทุกวันไม่เว้นวันหยุด จึงเหมาะสำหรับร้านค้าออนไลน์หรือผู้ที่ต้องการความสะดวกสบายในการจัดส่งสินค้า   

จุดเด่นของ Flash Express 

  • บริการตลอด 365 วัน Flash Express เปิดให้บริการรับ-ส่งพัสดุทุกวัน ไม่เว้นวันหยุดราชการ ทำให้ตอบโจทย์ผู้ที่ต้องการจัดส่งสินค้าได้ทุกวัน 
  • เข้ารับพัสดุฟรีถึงที่ มีบริการเข้ารับพัสดุถึงหน้าบ้านหรือหน้าร้านค้าฟรีตั้งแต่ชิ้นแรก โดยไม่มีค่าใช้จ่ายเพิ่มเติม
  • ค่าบริการที่แข่งขันได้ เสนอค่าบริการที่ถูกกว่าเมื่อเทียบกับผู้ให้บริการรายอื่นในตลาด และมีโปรโมชั่นที่น่าสนใจตลอดเวลา
  • ครอบคลุมทั่วประเทศ ให้บริการจัดส่งพัสดุครอบคลุมทั่วประเทศไทย
  • ระบบติดตามพัสดุแบบเรียลไทม์ ลูกค้าสามารถติดตามสถานะพัสดุได้ตลอดการจัดส่ง 

ค่าบริการเริ่มต้นของ Flash Express 

ค่าบริการจัดส่งพัสดุของ Flash Express มีราคาเริ่มต้นที่ 22 บาท อย่างไรก็ตาม ราคาอาจแตกต่างกันไปขึ้นอยู่กับน้ำหนัก ขนาด และระยะทางในการจัดส่ง  

สำหรับบริการ COD เรียกเก็บเงินปลายทาง จะมีค่าธรรมเนียมเพิ่มเติมอีก 3% 

ระยะเวลาการจัดส่งของ Flash Express 

  • กรณีส่งพัสดุภายในจังหวัดเดียวกัน ก่อนเวลา 17:00 น. จะได้รับพัสดุภายในวันถัดไป
  • ส่งพัสดุปกติทั่วไป จะใช้เวลาประมาณ 1 – 3 วันทำการ
  • สำหรับพื้นที่ห่างไกล จะใช้เวลาประมาณ 2 – 3 วันทำการ  

4. J&T Express 

J&T Express เป็นผู้ให้บริการขนส่งพัสดุด่วนที่มีเครือข่ายครอบคลุมทั่วประเทศ โดดเด่นด้วยความรวดเร็วในการจัดส่งและระบบจัดการพัสดุที่ทันสมัย พร้อมศูนย์กระจายสินค้าที่มีเทคโนโลยีอัตโนมัติ ช่วยให้การคัดแยกพัสดุเป็นไปอย่างแม่นยำและรวดเร็ว   

จุดเด่นของ J&T Express 

  • เครือข่ายครอบคลุมทั่วประเทศ J&T Express มีจุดให้บริการและเครือข่ายการจัดส่งที่ครอบคลุมทั่วประเทศไทย ทำให้สามารถเข้าถึงบริการได้ง่าย
  • บริการรับพัสดุถึงที่ มีบริการเข้ารับพัสดุถึงบ้านหรือสำนักงานฟรี โดยไม่มีขั้นต่ำในการส่ง ทำให้สะดวกสบายสำหรับผู้ส่ง 
  • บริการ COD มีบริการเก็บเงินปลายทาง  
  • รองรับสินค้าหลากหลายประเภท สามารถรองรับการจัดส่งสินค้าได้หลากหลายขนาดและน้ำหนัก 

ค่าบริการเริ่มต้นของ J&T Express 

ค่าส่งพัสดุเริ่มต้น 24 บาท สำหรับพัสดุที่มีน้ำหนักไม่เกิน 1 กิโลกรัม และสำหรับบริการ COD จะมีค่าธรรมเนียม เพิ่มเติมอีก 2.4% ของค่าสินค้า โดยคิดเพิ่มเติมจากค่าขนส่งมาตรฐาน

ระยะเวลาการจัดส่งของ J&T Express

ระยะเวลาการจัดส่งของ J&T Express โดยทั่วไปอยู่ที่ประมาณ 1 – 3 วันทำการ

5. SCG Express 

เน้นการให้บริการขนส่งพัสดุย่อยแบบเร่งด่วน ทั้งแบบ B2B, B2C และ C2C และมีบริการพร้อมรับพัสดุถึงที่ ซึ่งตอนนี้ทาง SCG ก็มีบริการใหม่สำหรับการขนส่งสินค้าแบบแช่แข็ง ไม่ว่าจะเป็น อาหาร ผลไม้ ของสดต่าง ๆ ที่เรียกว่า Cool TA-Q-BIN ที่ควบคุมให้พัสดุอยู่ในอุณหภูมิที่เหมาะสมได้ตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทางครับ 

จุดเด่นของ SCG Express

  • บริการ Cool TA-Q-BIN เป็นจุดเด่นที่สำคัญที่สุดของ SCG Express โดยให้บริการขนส่งสินค้าควบคุมอุณหภูมิ (แช่เย็น 0 – 8 °C และแช่แข็ง -15 °C) เหมาะสำหรับอาหารสด อาหารแปรรูป ผลไม้ ยา หรือผลิตภัณฑ์ที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ
  • ครอบคลุมทั่วประเทศ SCG Express มีเครือข่ายการจัดส่งที่ครอบคลุมทั่วประเทศไทย รวมถึงบริการเข้ารับพัสดุถึงหน้าบ้าน
  • ความรวดเร็วและตรงเวลา มุ่งเน้นการจัดส่งพัสดุย่อยแบบเร่งด่วน โดยเฉพาะบริการแบบ Ta-Q-Bin ที่มีมาตรฐานการจัดส่งที่รวดเร็วและตรงเวลา
  • มาตรฐานการบริการแบบญี่ปุ่น ได้รับการถ่ายทอดมาตรฐานการบริการจาก Yamato Asia ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการขนส่งของญี่ปุ่น ทำให้มั่นใจในคุณภาพการดูแลพัสดุ
  • หลากหลายประเภทการจัดส่ง ให้บริการทั้งพัสดุทั่วไป (Standard TA-Q-BIN) และพัสดุควบคุมอุณหภูมิ (Cool TA-Q-BIN)
  • ระบบติดตามพัสดุ มีระบบให้ลูกค้าสามารถติดตามสถานะพัสดุได้ง่ายผ่านเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน 

ค่าบริการเริ่มต้นของ SCG Express

ค่าบริการเริ่มต้นของ SCG Express จะอยู่ที่ประมาณ 25 บาท ขึ้นอยู่กับน้ำหนักและระยะทาง และสำหรับบริการ Cool TA-Q-BIN ค่าจัดส่งจะขึ้นอยู่กับขนาดของกล่อง และประเภทการควบคุมอุณหภูมิ เช่น แบบแช่เย็น (0 – 8°C) หรือแช่แข็ง (-15°C) ซึ่งราคาจะเริ่มต้นที่ประมาณ 120 บาท   

ระยะเวลาการจัดส่งของ SCG Express

โดยทั่วไปใช้เวลา 1 – 3 วันทำการ แต่สำหรับบริการ Cool TA-Q-BIN มักจะจัดส่งรวดเร็ว โดยส่วนใหญ่จะได้รับสินค้าในวันถัดไป (Next Day Delivery) สำหรับพื้นที่ห่างไกลอาจใช้เวลา 2 วันทำการ 

6. DHL Express 

DHL Express เป็นบริษัทขนส่งระดับโลกที่มีชื่อเสียงในด้านการให้บริการจัดส่งพัสดุด่วนระหว่างประเทศ แต่ก็ให้บริการภายในประเทศเช่นกัน โดยเฉพาะกลุ่มลูกค้าที่ต้องการความเร็ว ความปลอดภัยและการบริการที่ได้มาตรฐานระดับสากล เหมาะอย่างยิ่งสำหรับธุรกิจที่มีการส่งสินค้าไปต่างประเทศ หรือผู้ที่ต้องการส่งเอกสารหรือของสำคัญอย่างเร่งด่วน  

จุดเด่นของ DHL Express

  • เครือข่ายทั่วโลก DHL Express มีเครือข่ายการขนส่งที่กว้างขวางครอบคลุมกว่า 220 ประเทศและเขตแดนทั่วโลก ทำให้เป็นผู้นำด้านการขนส่งระหว่างประเทศที่สามารถเชื่อมโยงตลาดต่าง ๆ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ 
  • ความรวดเร็วในการจัดส่ง โดดเด่นด้วยบริการจัดส่งด่วนที่รวดเร็ว โดยเฉพาะการจัดส่งพัสดุระหว่างประเทศที่มักจะถึงปลายทางภายในไม่กี่วันทำการ  
  • เทคโนโลยีที่ทันสมัย ลงทุนในการใช้เทคโนโลยีขั้นสูง เช่น ระบบติดตามพัสดุแบบเรียลไทม์ และระบบจัดการคลังสินค้าอัตโนมัติ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพและความแม่นยำในการบริการ  

ค่าบริการเริ่มต้นของ DHL Express

  • ในพื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑล ค่าบริการส่งเริ่มต้นที่ 50 บาท
  • พื้นที่ต่างจังหวัด ค่าบริการส่งเริ่มต้นที่ 64 บาท  

ระยะเวลาการจัดส่งของ DHL Express

บริการจัดส่งในประเทศ จะใช้เวลาประมาณ 1 – 3 วัน และบริการส่งระหว่างประเทศ จะใช้เวลาประมาณ 4 – 11 วัน   

7. Speed-D 

สามารถฝากส่งพัสดุได้ตามร้าน 7-Eleven โดยปัจจุบันมีมากกว่า 13,000 สาขาทั่วประเทศ ซึ่งเรียกได้ว่าสะดวกสบายมากสำหรับพ่อค้าแม่ค้า ผู้ที่ต้องการส่งของด่วนหรือไม่มีเวลาไปส่งในเวลาครับ เพราะเขาเปิดบริการตลอด 24 ชม. 

จุดเด่นของ Speed-D

  • ฝากส่งพัสดุได้ง่ายที่ 7-Eleven ทุกสาขา เปิดบริการ 24 ชั่วโมง 
  • ไม่จำเป็นต้องพิมพ์ใบปะหน้า เพียงแสดง QR Code หรือกรอกข้อมูลที่หน้าร้าน
  • สามารถจัดพัสดุได้ตลอด 24 ชม. เพราะสำหรับผู้ที่ต้องการส่งพัสดุแบบเร่งด่วน 

ค่าบริการเริ่มต้นของ Speed-D

ค่าบริการเริ่มต้นของ Speed-D อยู่ที่ประมาณ 15 บาท สำหรับพัสดุขนาดเล็กน้ำหนักไม่เกิน 1 กิโลกรัม ทั้งนี้ ราคาจะเพิ่มขึ้นตามขนาดและน้ำหนักของพัสดุ ซึ่งโดยรวมถือว่าเป็นราคาที่ประหยัด เหมาะสำหรับผู้ส่งจำนวนมากหรือใช้งานประจำ  

ระยะเวลาการจัดส่งของ Speed-D 

Speed-D มีระยะเวลาการจัดส่งภายในประเทศอยู่ที่ประมาณ 1 – 3 วันทำการ ขึ้นอยู่กับระยะทางและพื้นที่ปลายทาง โดยทั่วไป พื้นที่กรุงเทพฯ และปริมณฑลจะได้รับพัสดุภายใน 1 – 2 วัน ส่วนพื้นที่ห่างไกลอาจใช้เวลานานขึ้นเล็กน้อย  

8. Nim Express 

Nim Express เป็นบริษัทขนส่งของไทยที่เติบโตอย่างต่อเนื่อง มีจุดให้บริการมากกว่า 2,000 แห่งทั่วประเทศ พร้อมทั้งบริการเก็บเงินปลายทาง และบริการรับสินค้าจากมือผู้ส่ง และส่งสินค้าให้ถึงมือผู้รับเลยด้วย นอกจากนี้ยังมีบริการเก็บเงินปลายทาง (COD) ซึ่งตอบโจทย์ร้านค้าออนไลน์และธุรกิจที่ต้องการเพิ่มความมั่นใจให้กับลูกค้า 

จุดเด่นของ Nim Express 

  • มีจุดให้บริการครอบคลุมทั่วประเทศกว่า 2,000 แห่ง 
  • รองรับบริการ เก็บเงินปลายทาง (COD) 
  • มีระบบติดตามพัสดุออนไลน์แบบเรียลไทม์ 
  • รองรับทั้งลูกค้ารายย่อยและธุรกิจขนาดใหญ่ พร้อมบริการขนส่งแบบเหมาคัน 

ค่าบริการเริ่มต้นของ Nim Express 

ค่าจัดส่งของ Nim Express เริ่มต้นที่ประมาณ 35 บาท สำหรับพัสดุที่มีน้ำหนักไม่เกิน 1 กิโลกรัม  โดยราคาจะเปลี่ยนแปลงตามน้ำหนัก ขนาดและปลายทาง โดยสามารถเช็กค่าบริการได้ผ่านเว็บไซต์หรือจุดบริการใกล้บ้านได้เลย 

ระยะเวลาการจัดส่งของ Nim Express

ระยะเวลาการจัดส่งของ Nim Express โดยทั่วไปอยู่ที่ 1 – 3 วันทำการ ขึ้นอยู่กับพื้นที่ต้นทางและปลายทาง 

9. Best Express 

ถึงแม้ว่าจะเป็นน้องใหม่ในไทย แต่มีประสบการณ์การส่งยาวนานในประเทศจีน และเป็นหนึ่งในบริษัทของเครืออาลีบาบา เพื่อบริการธุรกิจ E-Commerce ทั่วไทยครับ   

จุดเด่นของ Best Express

  • เป็นบริษัทในเครือ Alibaba Group มั่นใจในระบบจัดการและเทคโนโลยี 
  • มีระบบติดตามพัสดุที่แม่นยำและใช้งานง่าย 
  • มีบริการเก็บเงินปลายทาง (COD) 
  • เหมาะสำหรับร้านค้าออนไลน์ และธุรกิจที่ต้องการขยายฐานลูกค้าอย่างรวดเร็ว 
  • มีจุดให้บริการทั่วประเทศ และขยายเครือข่ายต่อเนื่อง 

ค่าบริการเริ่มต้นของ Best Express

ค่าบริการจัดส่งของ Best Express เริ่มต้นที่ประมาณ 25 บาท สำหรับพัสดุน้ำหนักไม่เกิน 1 กิโลกรัม โดยราคาจะเพิ่มตามขนาด น้ำหนักและปลายทาง 

ระยะเวลาการจัดส่งของ Best Express

ระยะเวลาในการจัดส่งพัสดุ จะอยู่ที่ประมาณ 2 – 3 วันทำการ  

10. Inter Express 

บริการ Next Day ส่งถึงปลายทางเพียงวันเดียว พร้อมให้บริการขนส่งแบบ B2B ทั่วประเทศ และมีจุดเด่นคือสามารถส่งสินค้าแบบควบคุมอุณหภูมิได้ทั้งแช่เย็น (0 – 8 องศา) และแช่แข็ง (ต่ำกว่า -15 องศา) ถือว่าตอบโจทย์ธุรกิจประเภทอาหาร ของสด ยาและเวชภัณฑ์ เป็นต้นครับ  

จุดเด่นของ Inter Express 

  • ให้บริการ Next Day Delivery ถึงปลายทางภายในวันถัดไป
  • รองรับการจัดส่งแบบควบคุมอุณหภูมิทั้งแช่เย็น และแช่แข็ง 
  • เหมาะสำหรับการจัดส่งสินค้าทางการแพทย์ อาหารสด ยา เวชภัณฑ์ 
  • มีเครือข่ายจัดส่งทั่วประเทศ โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจ B2B 
  • มีทีมขนส่งเฉพาะทางที่ได้รับการฝึกอบรม และรถขนส่งที่ควบคุมอุณหภูมิได้แม่นยำตลอดเส้นทาง  

ค่าบริการเริ่มต้นของ Inter Express

ค่าบริการจัดส่งของ Inter Express เริ่มต้นที่ประมาณ 30 บาท และสำหรับบริการขนส่งสินค้าแบบควบคุมอุณหภูมิ (Inter Pack) ค่าบริการเริ่มต้นที่ 140 บาทต่อกล่อง 

ระยะเวลาการจัดส่งของ Inter Express 

  • สำหรับบริการ Next Day Delivery จะจัดส่งถึงปลายทางภายใน 1 วันทำการ
  • สำหรับการขนส่งแบบควบคุมอุณหภูมิ ระยะเวลาจะขึ้นอยู่กับระยะทางและรอบขนส่งของแต่ละพื้นที่ โดยเฉลี่ยจะอยู่ที่ 1 – 2 วันทำการ   

รวมบริษัทขนส่ง ส่งวันเดียวถึง

ผู้ให้บริการที่มีจุดเด่นเน้นส่งไวภายในวันเดียว ภายใน 1 – 2 ชั่วโมง ไม่ว่าจะเป็นเอกสาร จดหมายหรือสิ่งของที่ต้องการใช้แบบด่วนจี๋ ก็เรียกใช้บริการพวกเค้าเหล่านี้ได้เลยครับ 

  1. LALAMOVE ส่งรวดเร็วภายใน 3 ชั่วโมง ให้บริการทุกวัน ตลอด 24 ชั่วโมง พร้อมมีบริการเก็บเงินปลายทาง สามารถใช้บริการผ่านทางแอปพลิเคชันได้ทันที มีรถให้เลือกหลายประเภท ทั้งรถมอเตอร์ไซค์ อีโคคาร์ 5 ประตู รถปิคอัพ รถกระบะมีตู้และยังมีการบริการรับและจัดส่งของ เช่น อาหาร พัสดุ เอกสาร เป็นต้น
  2. LINEMAN รับส่งพัสดุถึงบ้าน พร้อมจัดส่งทั่วประเทศ บริการครบวงจรทั้งส่งเอกสารแบบแมสเซนเจอร์ด่วน, ส่งพัสดุ, สั่งอาหาร หรือแม้แต่เรียกบริการซื้อของให้ ใช้บริการผ่านแอปพลิเคชัน พร้อมมีบริการแจ้งเตือนในไลน์ของผู้ส่งและผู้รับ
  3. Deliveree เรียกรถผ่านแอปพลิเคชันได้ตลอด 24 ชม. มีรถขนของให้เลือกทั้งหมด 5 ประเภท ได้แก่ มอเตอร์ไซค์ อีโคคาร์ รถปิคอัพ รถกระบะมีตู้ และรถ 6 ล้อ มอเตอร์ไซค์เข้ารับของภายใน 45 นาที และรถ 4 ล้อภายใน 1 ชั่วโมง นอกจากนี้ยังให้บริการขนส่งแบบเหมาจ่ายราคาเดียวอีกด้วย
  4. Grab Express บริการส่งด่วน มีทั้งรถจักรยานยนต์ รถยนต์ และรถกระบะ สามารถเรียกหลาย ๆ คันพร้อมกัน สูงสุดถึง 10 คัน พร้อมติดตามสถานะ Real-time ตรวจสอบได้ตลอดเวลา ใช้บริการผ่านแอปพลิเคชัน เมื่อกดจองล่วงหน้ารถจะไปให้บริการในเวลาเพียง 10 – 15 นาที 

เลือกใช้บริษัทขนส่งที่ดีมีควรพิจารณาอะไรบ้าง 

พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์หลายคนอาจลังเลเมื่อต้องเลือกขนส่งให้เหมาะกับร้านของตัวเอง เพราะในปัจจุบันมีบริษัทขนส่งมากมายที่ให้บริการหลากหลายรูปแบบ ทั้งแบบด่วนพิเศษ ไปจนถึงแบบควบคุมอุณหภูมิ แต่จะเลือกยังไงให้ได้ขนส่งที่เร็ว ปลอดภัย และคุ้มค่าที่สุดสำหรับธุรกิจ ลองพิจารณาจากปัจจัยต่อไปนี้ 

  • เรทราคาค่าขนส่งที่เหมาะสมกับต้นทุนของร้าน ต้นทุนค่าขนส่งมีผลโดยตรงต่อราคาสินค้าและกำไรของร้าน การเลือกบริษัทขนส่งที่มีเรทราคาเหมาะสม และสามารถคำนวณต้นทุนล่วงหน้าได้ชัดเจน จะช่วยให้ร้านบริหารค่าใช้จ่ายได้ง่ายขึ้น
  • ความรวดเร็วในการจัดส่ง ระยะเวลาที่สินค้าจะถึงมือลูกค้าคือสิ่งสำคัญ การเลือกขนส่งที่สามารถจัดส่งได้เร็ว โดยเฉพาะแบบ Next Day หรือ Same Day จะช่วยเพิ่มความพึงพอใจของลูกค้า และทำให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ
  • พื้นที่ให้บริการครอบคลุม ขนส่งควรครอบคลุมทั้งในเขตเมืองและพื้นที่ห่างไกล เพื่อให้ร้านสามารถขายสินค้าได้ทั่วประเทศ โดยไม่ต้องเปลี่ยนบริษัทขนส่งในแต่ละพื้นที่
  • มีบริการหลากหลายรูปแบบ ขนส่งที่สามารถรองรับพัสดุหลายประเภท เช่น แบบธรรมดา, แบบด่วน, แบบควบคุมอุณหภูมิ หรือแม้กระทั่งการเก็บเงินปลายทาง (COD) จะเพิ่มทางเลือกให้กับลูกค้าและช่วยให้ร้านขยายกลุ่มเป้าหมายได้มากขึ้น 
  • มีประกันพัสดุ กรณีสูญหายหรือเสียหาย บริษัทขนส่งที่มีระบบประกันหรือคุ้มครองสินค้าในกรณีสูญหายหรือเสียหาย จะช่วยลดความเสี่ยงให้กับร้านและเพิ่มความมั่นใจในการจัดส่ง 
  • มีทีมบริการลูกค้า (Call Center) ที่ติดต่อได้ง่าย เมื่อเกิดปัญหาเกี่ยวกับการจัดส่ง เช่น พัสดุตกหล่น หรือจัดส่งผิดพื้นที่ บริษัทขนส่งที่มี Call Center หรือช่องทางการติดต่อที่ชัดเจน จะช่วยให้ร้านค้าสามารถแก้ปัญหาได้ทันที
  • มีระบบติดตามพัสดุแบบเรียลไทม์ ความสามารถในการตรวจสอบสถานะพัสดุผ่านเว็บไซต์หรือแอปพลิเคชัน ไม่เพียงช่วยให้ร้านค้าติดตามได้สะดวก แต่ยังช่วยให้ลูกค้ามั่นใจว่าได้รับสินค้าตรงเวลาและถูกต้อง

สรุปบทความ 

ในการเลือกบริษัทขนส่งให้ตอบโจทย์ธุรกิจนั้น ไม่มีสูตรสำเร็จตายตัว เพราะแต่ละร้านมีความต้องการและลักษณะของสินค้าแตกต่างกันออกไป บางร้านต้องการส่งไว บางร้านต้องการราคาประหยัด บางร้านต้องการระบบเก็บเงินปลายทาง หรือแม้แต่บางร้านก็ต้องการขนส่งควบคุมอุณหภูมิ ดังนั้น การรู้จักจุดเด่น จุดด้อย และบริการของแต่ละบริษัทจึงเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ยุคนี้

MyCloud Fulfillment เข้าใจ Pain Point ที่ร้านค้าเจอ โดยเฉพาะปัญหาการขายของออนไลน์ อย่างเรื่องขนส่งไม่เข้ารับพัสดุ ซึ่งส่งผลต่อ คะแนนร้านค้า (SLA) ใน Marketplace ได้โดยตรง ร้านค้าจึงไม่ควรต้องแบกรับความเสี่ยงเพียงลำพัง ด้วยจุดแข็งของ MyCloud Fulfillment ที่สามารถทำงานร่วมกับขนส่งได้ทุกเจ้า ลูกค้าสามารถรวมทุกออเดอร์จาก Marketplace แล้วให้ระบบของ MyCloud จัดการแทนได้ทันที

เพราะเราเข้าใจดีว่า “พัสดุที่ไม่ได้เข้ารับ = โอกาสในการขายที่หายไป” ทุกออเดอร์จึงสำคัญและไม่ควรถูกปล่อยให้หลุดมือ ด้วยระบบของ MyCloud Fulfillment เราสามารถรวมคำสั่งซื้อจากทุกช่องทาง ด้วยระบบ Omnichannel Management แล้วเลือกจัดส่งผ่านขนส่งที่เหมาะสมที่สุด เพื่อให้ทุกการจัดส่งดำเนินไปอย่างราบรื่น ไม่เสียเวลาและไม่เสียคะแนนร้านค้า นอกจากนี้ เรายังมี รอบขนส่งเข้ารับที่ตรงเวลาแน่นอน เพราะ Volume Order ที่สูงของเรา ทำให้ขนส่งมองว่าคุ้มค่าต่อการเข้ารับในแต่ละรอบ นอกจากนี้ คลังสินค้าของ MyCloud ยังตั้งอยู่ติดถนนใหญ่ เข้า-ออกสะดวก ไม่ต้องกังวลเรื่องถนนขรุขระ หรือข้ออ้างเข้าไม่ได้จากบริษัทขนส่ง พร้อมกันนี้ เรายังมีกล้อง CCTV จัดเก็บหลักฐานกรณีขนส่งไม่เข้ารับพัสดุ เพื่อใช้ยืนยันกับ Marketplace ได้อย่างชัดเจน ป้องกันไม่ให้ร้านค้าเสียคะแนนโดยไม่เป็นธรรม ไม่ว่าคุณจะเป็นร้านเล็ก ร้านใหญ่ หรือธุรกิจที่กำลังเติบโต MyCloud Fulfillment พร้อมเป็นหลังบ้านให้คุณอย่างมืออาชีพ ให้ทุกออเดอร์จัดส่งถึงมือลูกค้าได้อย่าง รวดเร็ว ตรงเวลา และไม่มีสะดุด 

บทความที่เกี่ยวข้อง

อ่านเพิ่มเติม

ทำความเข้าใจทุก Platform การขาย ช่องทางไหนเวิร์คสุด?

ธุรกิจออนไลน์ไปได้สวย ต้องเข้าใจทุก Platform การขาย           ธุรกิจ E-Commerce เติบโตขึ้นมาก ถึงมากที่สุดในปี2020 ยิ่งในช่วงวิกฤตแบบนี้ เพราะช่องทางออนไลน์ไม่ใช่แค่ตลาดเสมือนจริงที่จำลองโลกการซื้อขายไว้บนโลกออนไลน์ แต่เป็นช่องทางหลักอีกช่องทางหนึ่งที่ทำเงินให้ผู้ขายไม่แพ้การขายหน้าร้านเลย เผลอ ๆ มากกว่าด้วยซ้ำค่ะ ทั้งนี้เพราะ การขายออนไลน์ทำให้ผู้ขายเข้าถึงลูกค้ามากขึ้น และการซื้อของออนไลน์ หรือการใช้อินเตอร์เน็ตถือเป็นวิถีชีวิตของคนยุคใหม่ไปแล้ว และแน่นอนว่าทั้งผู้ซื้อและผู้ขายออนไลน์ต้องเคยซื้อขาย หรือเข้าไปในช่องทางต่าง ๆ เหล่านี้ 1. Social Media 2. E-Marketplace และ 3. บน Website ของแบรนด์ แล้วช่องทางไหนเป็นช่องทางที่ดี และเหมาะสมที่สุดในการขายกันแน่ วันนี้เราจะมาหาคำตอบไปพร้อม ๆ กันค่ะ           ตามสถิติแล้วช่องทางการขายที่มีมานาน และเป็นช่องทางแรก ๆ ที่คนลงขายของกันก็คือ Social Media ไม่ว่าจะเป็น Facebook ก็ดี Instagram, Twitter ก็ดี […]

วิธีเปิดโหมดพักร้อน Shopee พร้อมข้อดีข้อเสียที่ต้องรู้

เข้าสู่ช่วงเทศกาลหยุดยาวทั้งที หลายร้านค้าออนไลน์ที่ขายบน Shopee อาจกำลังวางแผนหยุดพักผ่อน แต่ปัญหาที่มักพบคือ หากหยุดขายอาจทำให้ยอดขายหาย หรือถูกลดการมองเห็นสินค้า วันนี้เราจะพาคุณไปรู้จักกับ “โหมดพักร้อน Shopee” ว่าคืออะไร ใช้อย่างไร มีข้อดีข้อเสียอะไรบ้าง พร้อมแนะนำวิธีขายสินค้าแบบไม่มีสะดุด แม้ในช่วงหยุดยาวก็ขายได้ ไม่ต้องกลัวเสียยอดขายและไม่ต้องกลัวว่าสินค้าของคุณจะถูกลดการมองเห็นอีกต่อไป! โหมดพักร้อน Shopee คืออะไร? ฟีเจอร์ที่ Shopee ออกแบบมาเพื่อช่วยให้ร้านค้าออนไลน์สามารถหยุดการขายสินค้าชั่วคราวได้ โดยไม่จำเป็นต้องลบรายการสินค้าออกจากร้าน เหมาะสำหรับผู้ขายที่ต้องการพักร้านในช่วงเทศกาลหรือวันหยุดยาว เช่น สงกรานต์ ปีใหม่ เป็นต้น ช่วยให้ลูกค้าทราบชัดเจนว่าร้านค้าหยุดให้บริการชั่วคราว และลดปัญหาการจัดส่งล่าช้าหรือไม่ได้จัดส่งสินค้าในช่วงเวลาที่ร้านค้าหยุดพักดำเนินกิจการชั่วคราว วิธีเปิดโหมดพักร้อน Shopee 3.จากนั้นให้คลิกที่เมนูย่อย “โหมดพักร้อน” โดยระบบจะนำคุณเข้าสู่หน้าเปิดใช้งานฟีเจอร์นี้ 4.หลังจากเข้ามาที่หน้าโหมดพักร้อนแล้ว ให้คุณกดปุ่มเปิดใช้งานฟีเจอร์นี้แล้วกดดำเนินการต่อ เพียงเท่านี้คุณก็จะสามารถใช้งานโหมดพักร้อนได้แล้วค่ะ ร้านค้าของคุณจะเข้าสู่โหมดพักร้อน Shopee ทันที และลูกค้าจะถูกป้องกันไม่ให้มีการสั่งซื้อสินค้าในร้านค้าของคุณ ถือเป็นการป้องกันปัญหาในการจัดการคำสั่งซื้อในช่วงหยุดยาวได้อย่างดีค่ะแต่อาจจะมีผลต่อยอดขายที่จะลดลงด้วยเช่นกัน ข้อควรระวังในการเปิดโหมดพักร้อน ข้อดีของฟีเจอร์โหมดพักร้อน ผลกระทบเมื่อใช้ฟีเจอร์โหมดพักร้อน ขายดีต่อเนื่องไม่ต้องใช้ โหมดพักร้อน Shopee สรุป โหมดพักร้อน Shopee เป็นฟีเจอร์ที่ช่วยให้ร้านค้าออนไลน์สามารถหยุดขายสินค้าได้ชั่วคราว แต่ก็มีข้อเสียสำคัญคืออาจทำให้ยอดขายลดลงและสินค้าอาจถูกลดการมองเห็น ลูกค้าอาจเปลี่ยนใจไปซื้อสินค้ากับร้านคู่แข่งที่เปิดขายในช่วงเดียวกันได้ […]

ทำความเข้าใจทุก Platform การขาย ช่องทางไหนเวิร์คสุด?

ธุรกิจออนไลน์ไปได้สวย ต้องเข้าใจทุก Platform การขาย           ธุรกิจ E-Commerce เติบโตขึ้นมาก ถึงมากที่สุดในปี2020 ยิ่งในช่วงวิกฤตแบบนี้ เพราะช่องทางออนไลน์ไม่ใช่แค่ตลาดเสมือนจริงที่จำลองโลกการซื้อขายไว้บนโลกออนไลน์ แต่เป็นช่องทางหลักอีกช่องทางหนึ่งที่ทำเงินให้ผู้ขายไม่แพ้การขายหน้าร้านเลย เผลอ ๆ มากกว่าด้วยซ้ำค่ะ ทั้งนี้เพราะ การขายออนไลน์ทำให้ผู้ขายเข้าถึงลูกค้ามากขึ้น และการซื้อของออนไลน์ หรือการใช้อินเตอร์เน็ตถือเป็นวิถีชีวิตของคนยุคใหม่ไปแล้ว และแน่นอนว่าทั้งผู้ซื้อและผู้ขายออนไลน์ต้องเคยซื้อขาย หรือเข้าไปในช่องทางต่าง ๆ เหล่านี้ 1. Social Media 2. E-Marketplace และ 3. บน Website ของแบรนด์ แล้วช่องทางไหนเป็นช่องทางที่ดี และเหมาะสมที่สุดในการขายกันแน่ วันนี้เราจะมาหาคำตอบไปพร้อม ๆ กันค่ะ           ตามสถิติแล้วช่องทางการขายที่มีมานาน และเป็นช่องทางแรก ๆ ที่คนลงขายของกันก็คือ Social Media ไม่ว่าจะเป็น Facebook ก็ดี Instagram, Twitter ก็ดี […]

วิธีเปิดโหมดพักร้อน Shopee พร้อมข้อดีข้อเสียที่ต้องรู้

เข้าสู่ช่วงเทศกาลหยุดยาวทั้งที หลายร้านค้าออนไลน์ที่ขายบน Shopee อาจกำลังวางแผนหยุดพักผ่อน แต่ปัญหาที่มักพบคือ หากหยุดขายอาจทำให้ยอดขายหาย หรือถูกลดการมองเห็นสินค้า วันนี้เราจะพาคุณไปรู้จักกับ “โหมดพักร้อน Shopee” ว่าคืออะไร ใช้อย่างไร มีข้อดีข้อเสียอะไรบ้าง พร้อมแนะนำวิธีขายสินค้าแบบไม่มีสะดุด แม้ในช่วงหยุดยาวก็ขายได้ ไม่ต้องกลัวเสียยอดขายและไม่ต้องกลัวว่าสินค้าของคุณจะถูกลดการมองเห็นอีกต่อไป! โหมดพักร้อน Shopee คืออะไร? ฟีเจอร์ที่ Shopee ออกแบบมาเพื่อช่วยให้ร้านค้าออนไลน์สามารถหยุดการขายสินค้าชั่วคราวได้ โดยไม่จำเป็นต้องลบรายการสินค้าออกจากร้าน เหมาะสำหรับผู้ขายที่ต้องการพักร้านในช่วงเทศกาลหรือวันหยุดยาว เช่น สงกรานต์ ปีใหม่ เป็นต้น ช่วยให้ลูกค้าทราบชัดเจนว่าร้านค้าหยุดให้บริการชั่วคราว และลดปัญหาการจัดส่งล่าช้าหรือไม่ได้จัดส่งสินค้าในช่วงเวลาที่ร้านค้าหยุดพักดำเนินกิจการชั่วคราว วิธีเปิดโหมดพักร้อน Shopee 3.จากนั้นให้คลิกที่เมนูย่อย “โหมดพักร้อน” โดยระบบจะนำคุณเข้าสู่หน้าเปิดใช้งานฟีเจอร์นี้ 4.หลังจากเข้ามาที่หน้าโหมดพักร้อนแล้ว ให้คุณกดปุ่มเปิดใช้งานฟีเจอร์นี้แล้วกดดำเนินการต่อ เพียงเท่านี้คุณก็จะสามารถใช้งานโหมดพักร้อนได้แล้วค่ะ ร้านค้าของคุณจะเข้าสู่โหมดพักร้อน Shopee ทันที และลูกค้าจะถูกป้องกันไม่ให้มีการสั่งซื้อสินค้าในร้านค้าของคุณ ถือเป็นการป้องกันปัญหาในการจัดการคำสั่งซื้อในช่วงหยุดยาวได้อย่างดีค่ะแต่อาจจะมีผลต่อยอดขายที่จะลดลงด้วยเช่นกัน ข้อควรระวังในการเปิดโหมดพักร้อน ข้อดีของฟีเจอร์โหมดพักร้อน ผลกระทบเมื่อใช้ฟีเจอร์โหมดพักร้อน ขายดีต่อเนื่องไม่ต้องใช้ โหมดพักร้อน Shopee สรุป โหมดพักร้อน Shopee เป็นฟีเจอร์ที่ช่วยให้ร้านค้าออนไลน์สามารถหยุดขายสินค้าได้ชั่วคราว แต่ก็มีข้อเสียสำคัญคืออาจทำให้ยอดขายลดลงและสินค้าอาจถูกลดการมองเห็น ลูกค้าอาจเปลี่ยนใจไปซื้อสินค้ากับร้านคู่แข่งที่เปิดขายในช่วงเดียวกันได้ […]