ปัจจุบันนี้ธุรกิจส่วนใหญ่นั้นมักจะเจาะกลุ่มตลาดออนไลน์ และให้ความสำคัญกับธุรกิจ E-commerce มากยิ่งขึ้น ทำให้เกิดการเปลี่ยนรูปแบบในการทำธุรกิจ จากเดิมที่มักจะเห็นธุรกิจแบบ B2C จนชินตา เปลี่ยนมาเป็น ธุรกิจแบบ B2B และ B2B2C เรามาทำความรู้จักธุรกิจทั้งสามแบบ ว่าคืออะไร เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร ? กันดีกว่าครับ

B2B คืออะไร
B2B หรือ Business-to-Business คือการทำการค้าระหว่างธุรกิจทำกับธุรกิจด้วยกัน โดยมีจุดประสงค์เพื่อ ตอบสนองความต้องการทางธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นด้านวัตถุดิบ การผลิตสินค้า หรือการบริการ เพื่อประโยชน์หรือการพัฒนาธุจกิจขององค์กร โดยไม่ใช่การนำไปเพื่ออุปโภคหรือบริโภคเอง เช่น การซื้อผ้ามาเพื่อผลิตเสื้อ ธุรกิจ B2B ที่พบเห็นกันได้บ่อย ๆ ส่วนใหญ่ก็เป็นธุรกิจด้านขนส่งอย่าง DHL เป็นต้น ซึ่ง B2B ก็คล้ายกับ B2C ที่ขยายจากตลาดออฟไลน์มาสู่ตลาดออนไลน์ แต่ต่างกันตรงที่ การทำงานจะเปลี่ยนจาก ระหว่างลูกค้าและเจ้าของธุรกิจ มาเป็น เจ้าของธุรกิจและเจ้าของธุรกิจ โดยการนำระบบออนไลน์นั้นมาประยุกต์ใช้กับธุรกิจทั้งสองรูปแบบ แต่ธุรกิจแบบ B2B สามารถต่อยอดไปได้ไกลยิ่งขึ้นผ่านระบบ e-Commerce และการตลาดออนไลน์ ทำให้บริษัทมีความน่าเชื่อถือและเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น
ทำไมการตลาดแบบ B2B จึงสำคัญ
การตลาดแบบ B2B มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการเติบโตและความสำเร็จของธุรกิจ ดังนี้
- สร้างความน่าเชื่อถือและความสัมพันธ์ระยะยาว การทำธุรกิจ B2B เปรียบเหมือนการสร้างมิตรภาพ ไม่ใช่แค่ไปซื้อของแล้วเดินกลับบ้าน แต่เป็นการสร้างความสัมพันธ์ที่ไว้วางใจกันได้ในระยะยาว เพราะเมื่อบริษัทต้องการซื้อสินค้าหรือบริการ พวกเขาต้องการความมั่นใจว่าผู้ขายจะดูแลและให้บริการอย่างต่อเนื่อง ไม่ใช่ขายแล้วหายไป
- มูลค่าสูงกว่า โดยทั่วไปแล้ว ธุรกรรมแบบ B2B มักมีมูลค่าสูงกว่าธุรกรรมแบบ B2C อย่างมาก การขายสินค้าหรือบริการให้กับธุรกิจมักเกี่ยวข้องกับการสั่งซื้อในปริมาณมาก หรือการทำสัญญาบริการระยะยาว ซึ่งนำมาซึ่งรายได้ที่มั่นคงและมีนัยสำคัญ
- การตัดสินใจที่ใช้เวลานาน การตัดสินใจซื้อในธุรกิจ B2B มักเกี่ยวข้องกับหลายฝ่ายและหลายขั้นตอนภายในองค์กรของลูกค้า ทำให้ระยะเวลาในการขายยาวนานมาก เพราะฉะนั้น การตลาด B2B ที่มีประสิทธิภาพจะช่วยนำทางลูกค้าตลอดกระบวนการนี้ ตั้งแต่การรับรู้ปัญหาไปจนถึงการตัดสินใจซื้อ
- เจาะกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้แม่นยำมากยิ่งขึ้น การตลาด B2B ช่วยให้ธุรกิจสามารถมุ่งเน้นไปยังกลุ่มเป้าหมายที่เฉพาะเจาะจงได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นอุตสาหกรรม ขนาดของบริษัท รือความต้องการเฉพาะ การเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายที่แม่นยำจะช่วยให้การใช้ทรัพยากรทางการตลาดมีประสิทธิภาพสูงสุด
- โลกออนไลน์เปิดโอกาสใหม่ เช่นเดียวกับ B2C, B2B ก็สามารถขยายและต่อยอดธุรกิจได้อย่างมหาศาลผ่านระบบ e-Commerce และการตลาดออนไลน์ การมีตัวตนบนโลกออนไลน์ที่แข็งแกร่งไม่เพียงช่วยให้บริษัทเป็นที่รู้จักในวงกว้างขึ้น แต่ยังช่วยเพิ่มความน่าเชื่อถือและอำนวยความสะดวกในการติดต่อสื่อสารและทำธุรกรรมกับคู่ค้า
- การสร้างความได้เปรียบทางการแข่งขัน ในตลาด B2B ที่มีการแข่งขันสูง การตลาดที่มีกลยุทธ์จะช่วยให้ธุรกิจสร้างความแตกต่างและโดดเด่นจากคู่แข่งได้
B2C คืออะไร
B2C หรือ Business-to-Customer คือธุรกิจที่ขายสินค้าหรือบริการระหว่างเจ้าของธุรกิจ(B) และผู้บริโภครายบุคคล(C) เป็นประเภทธุรกิจ E-commerce ที่มีความสัมพันธ์ระยะสั้นระหว่างเจ้าของธุรกิจและผู้ซื้อโดยตรง ซึ่งปัจจุบันธุรกิจประเภทนี้ได้รับการพัฒนาขึ้นอย่างมาก เนื่องจากมีการเข้าถึงระบบออนไลน์ และเว็บไซต์ได้ง่าย ตัวอย่างธุรกิจ B2C ได้แก่ประเภทสินค้า เช่น อาหาร, เสื้อผ้า และ ประเภทบริการ เช่น สายการบิน, โรงแรม เป็นต้น
B2B2C คืออะไร
B2B2C หรือ Business-to-Business-to-Customer คือธุรกิจ E-commerce ที่รวมเอาธุรกิจแบบ B2B และ B2C เข้าด้วยกัน เพื่อเติมเต็มการทำธุรกิจให้สมบูรณ์ยิ่งขึ้นและความเพิ่มความสามารถในการขายสินค้าและบริการให้ได้มากยิ่งขึ้นนั่นเอง โดยการทำการค้าของทั้งสองธุรกิจมีจุดประสงค์เพื่อบริการ หรือขายสินค้าให้กับลูกค้าตัวจริงก็คือ C = Customer เช่น Marketplace ต่าง ๆ ในไทยนั้น อย่าง Lazada Shopee TikTok Shop หรือ Line Shopping ก็จะมีร้านค้าและแบรนด์ต่าง ๆ มาลงขายสินค้า เพื่อให้ลูกค้ามาเลือกซื้อ หรือ บริษัท MyCloudFulfillment ของเราก็เป็นอีกหนึ่งตัวอย่างของธุรกิจแบบ B2B2C โดยเราให้บริการคลังสินค้าออนไลน์ ซึ่งเปรียบเสมือนผู้ให้บริการ (B1) ลูกค้าที่เป็นผู้ประกอบการธุรกิจ (ฺB2) และเราทำการ เเพ็ค และจัดส่ง สินค้าไปให้ผู้บริโภค (C) โดยคำนึงถึงความต้องการของลูกค้าเป็นหลัก การเอาใจใส่ลูกค้าจึงเป็นสิ่งที่เรายึดถือมาโดยตลอด สำหรับบริการ fulfillment นั้นถือว่าเกิดมาเพื่อช่วยอำนวยความสะดวกให้กับเจ้าของกิจการจริง ๆ ครับ
ความแตกระหว่าง B2B, B2C และ B2B2C

ข้อแตกต่างระหว่าง ธุรกิจแบบ B2C และ B2B
การเลือกประเภทธุรกิจให้เหมาะกับลูกค้าเป็นสิ่งที่สำคัญอย่างยิ่ง เพราะแต่ละประเภทของธุรกิจก็มีความแตกต่างกันในเรื่องของ ความซับซ้อน ข้อจำกัด ขนาดของธุรกิจ และค่าใช้จ่าย ซึ่งธุรกิจแบบ B2B มักมีความยุ่งยากซับซ้อนกว่า เนื่องจากกระบวนการจัดซื้อมีความยุ่งยากมากขึ้น ต้องอาศัยผู้ตัดสินใจจำนวนมากเพราะต้องคำนึงถึงผลประโยชน์ขององค์กรเป็นหลัก ซึ่งแตกต่างจากการซื้อขายโดยตรงกับผู้ซื้อที่สามารถตัดสินใจได้เอง และระยะเวลาการทำสัญญาหรือการซื้อขายมักจะยาวนานกว่าการซื้อขายแบบ B2C เพราะลูกค้าในธุรกิจ B2B ไม่ใช่ผู้ใช้บริการ แต่เป็นเสมือนหุ้นส่วนระยะยาวของกันและกัน กล่าวคือธุรกิจแบบ B2B จะเน้นความสำคัญในเรื่องการมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคู่ค้าทางธุรกิจ แต่ B2C จะเน้นเรื่องผลิตภัณฑ์ และความพึงพอใจของลูกค้านั่นเอง อีกทั้งยังมีวิธีการดึงดูดลูกค้าที่ต่างกันโดย B2C ใช้โฆษณาและโปรโมชั่นเพื่อดึงดูดให้เกิดการซื้อขายต่างกับ B2B ที่ใช้ความน่าเชื่อถือของเจ้าของธุรกิจเป็นสำคัญ
ข้อแตกต่างระหว่าง ธุรกิจแบบ B2B และ B2B2C
ธุรกิจแบบ B2B2C เป็นการรวมวิธีการและจุดประสงค์ของ ธุรกิจ B2B กับ B2C เข้าด้วยกันโดยผู้ให้บริการ B2 เปรียบเสมือนเป็นตัวกลางในการทำงานกับคู่ค้าทางธุรกิจเพื่อลูกค้าปลายทาง เพราะ B2 จะต้องบริการให้กับลูกค้า ของ B1 อีกด้วย เรียกได้ว่า ผู้ให้บริการแบบ B2ในธุรกิจ B2B2C เป็นผู้ช่วยธุรกิจของ B1 นั่นเอง
การทำธุรกิจให้ตรงกับกลุ่มลูกค้า ไม่เพียงแต่จะช่วยให้ผู้ทำธุรกิจเข้าใจในการดำเนินงานและการติดต่อกับลูกค้า แต่ยังส่งผลให้เรารู้ถึงการทำการตลาดที่ถูกต้องและเหมาะสมกับประเภทของธุรกิจ ซึ่งการทำการตลาดอย่างมีประสิทธิภาพนั้นจะส่งผลต่อยอดขายและกำไรอีกด้วย
ตัวอย่างกลยุทธ์การตลาดแบบ B2B มีอะไรบ้าง
เราจะพาไปรู้จักกับตัวอย่างกลยุทธ์การตลาดแบบ B2B ที่หลายธุรกิจใช้ได้ผลจริง และช่วยสร้างยอดขายในระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพ จะมีอะไรบ้าง ตามมาดูกัน
1. การทำ Content Marketing ที่มีคุณค่า
สร้างสรรค์เนื้อหาที่มีประโยชน์ ให้ความรู้และแก้ไขปัญหาของลูกค้าธุรกิจ เนื้อหาเหล่านี้สามารถอยู่ในรูปแบบต่าง ๆ เช่น บทความ Blog, Ebooks, Case Study นำเสนอเรื่องราวความสำเร็จของลูกค้าที่เคยใช้สินค้าหรือบริการของคุณ เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือและแสดงให้เห็นผลลัพธ์ที่เป็นรูปธรรม Webinars หรือ Videos จัดสัมมนาออนไลน์ หรือสร้างวิดีโอให้ความรู้เกี่ยวกับผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณได้
2. การตลาดผ่าน Search Engine (SEO)
เนื่องจากผู้ซื้อในภาคธุรกิจมักจะค้นหาข้อมูล ดังนั้น การทำ SEO จึงสำคัญมากในการทำให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับต้น ๆ ในผลการค้นหา เมื่อลูกค้าค้นหาคำที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของคุณ
เนื่องจากผู้ซื้อในภาคธุรกิจมักจะเริ่มจากการค้นหาข้อมูลด้วยตัวเองก่อนตัดสินใจ การทำ SEO (Search Engine Optimization) จึงกลายเป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้เว็บไซต์ของคุณปรากฏอยู่ในอันดับต้น ๆ ของผลการค้นหาใน Google หรือแพลตฟอร์มอื่น ๆ เมื่อมีการค้นหาคำที่เกี่ยวข้องกับผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณก็ยิ่งมีโอกาสดึงดูดลูกค้าธุรกิจที่สนใจจริง และเปลี่ยนผู้เข้าชมให้กลายเป็นว่าที่ลูกค้าได้มากขึ้นเท่านั้น
3. การตลาดผ่าน Email (Email Marketing)
แม้จะมีช่องทางออนไลน์มากมาย แต่ Email ก็ยังเป็นเครื่องมือการตลาดที่ได้ผลดี โดยเฉพาะในกลุ่มธุรกิจ เพราะสามารถสื่อสารตรงไปยังผู้มีอำนาจตัดสินใจได้โดยตรง และยังใช้ต้นทุนไม่สูงอีกด้วย เช่น
- Lead Nurturing Campaigns การส่งอีเมลอย่างต่อเนื่องเพื่อให้ข้อมูลเกี่ยวกับสินค้า บริการ หรือเคล็ดลับต่าง ๆ ที่เป็นประโยชน์ ช่วยสร้างความไว้วางใจจนลูกค้าพร้อมตัดสินใจซื้อ
- Personalized Emails ปรับเนื้อหาในอีเมลให้ตรงกับความสนใจหรือพฤติกรรมของลูกค้า เช่น เรียกชื่อลูกค้า หรือแนะนำบริการที่เขาน่าจะสนใจ ทำให้อีเมลดูเฉพาะตัวและน่าสนใจยิ่งขึ้น
- Newsletters ส่งจดหมายข่าวเป็นประจำ เช่น รายเดือน เพื่ออัปเดตข่าวสารบริษัท บทความใหม่ หรือโปรโมชันล่าสุด ให้ลูกค้ารู้สึกใกล้ชิดกับแบรนด์
4. การตลาดผ่าน Social Media
แม้ว่า Social Media จะดูเหมือนเน้น B2C แต่ก็มีบทบาทสำคัญใน B2B เช่นกัน โดยเฉพาะ LinkedIn เพื่อสร้างเครือข่าย แสดงความเป็นผู้นำทางความคิด (Thought Leadership) และโปรโมทเนื้อหาที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจ
หรือ Facebook Twitter และ Instagram เพื่อสร้างการรับรู้แบรนด์ แชร์ข่าวสารอัปเดต และสร้างการมีส่วนร่วมกับกลุ่มเป้าหมายในวงกว้างขึ้น
5. Event Marketing
การเข้าร่วมหรือจัดงานอีเวนต์ต่าง ๆ ยังคงเป็นวิธีที่ดีในการสร้างความสัมพันธ์แบบตัวต่อตัวและแสดงให้เห็นถึงความเชี่ยวชาญ เช่น
- Trade Shows/Conferences เข้าร่วมงานแสดงสินค้าหรือการประชุมในอุตสาหกรรมที่เกี่ยวข้อง เพื่อพบปะผู้มีอำนาจตัดสินใจ
- Webinars/Online Workshops จัดสัมมนาหรือเวิร์คช็อปออนไลน์ เพื่อให้ความรู้และสาธิตผลิตภัณฑ์หรือบริการของคุณ
- Corporate Events จัดงานอีเวนต์ของบริษัทเอง เพื่อเชิญลูกค้าเป้าหมายมาทำความรู้จักและสร้างความสัมพันธ์
สนใจศึกษาและลงทะเบียนได้ที่ www.mycloudfulfillment.com
หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
โทร: 092-472-7742, 02-138-9920
อีเมล: [email protected]
line: @mycloudgroup
MyCloudFulfillment ขายของง่ายไม่ต้องแตะสต๊อก
บริการคลังสินค้าออนไลน์ เก็บ แพ็ค ส่ง ครบวงจร
