Knowledge Center

สงคราม ส่งด่วน ในโลกธุรกิจจริงโหดยิ่งกว่าในซีรีส์

สงคราม ส่งด่วน เมื่อในชีวิตจริง การส่งด่วนนั้นโหดยิ่งกว่าในซีรีส์

หลายคนคงจะได้ดูซีรีส์เรื่องดังอย่าง สงคราม ส่งด่วน ทาง Netflix กันไปบ้างแล้ว และได้เห็นถึงความเข้มข้นใน ธุรกิจขนส่ง ที่แข่งกันแบบดุเดือด อย่างในเรื่องของ การส่งเร็ว เพื่อที่จะได้รักษาลูกค้าและส่วนแบ่งตลาดเอาไว้ แต่หากมองมาในโลกความเป็นจริงของ ธุรกิจออนไลน์ ความท้าทายใน การส่งเร็ว กลับหนักหน่วงยิ่งกว่า เมื่อแต่ละ Marketplace อย่าง Shopee, Lazada หรือTikTok Shop ต่างปรับนโยบายระยะเวลาเตรียมจัดส่งจากเดิม ต้องส่งภายใน 1 วัน เปลี่ยนเป็นส่ง “ภายในวัน”

ทำไมแพลตฟอร์มต้องเร่งสปีดการจัดส่ง? หากร้านค้าทำไม่ทันจะได้รับผลกระทบอย่างไร? และจะต้องปรับตัวยังไงถึงจะรอด? จาก ศึกส่งด่วนในครั้งนี้ MyCloud Fulfillment ได้รวบรวมคำตอบที่ร้านค้าออนไลน์ต้องรู้ไว้ให้ในบทความนี้แล้วค่ะ

สงคราม ส่งด่วน

ทำไม Marketplace ต้องแข่งกัน ส่งด่วน ?

พนักงานแพ็กสินค้า ในคลังสินค้า ทำไม Marketplace ต้องแข่งกัน ส่งด่วน

เพราะ “ความเร็ว” กลายเป็นหัวใจของการช้อปปิ้งออนไลน์ในยุคนี้ ผู้บริโภคยุคใหม่ไม่ได้มองแค่ราคาหรือโปรโมชั่น แต่ให้ความสำคัญกับ “ความเร็วในการได้รับสินค้า” อย่างมาก พฤติกรรมนี้ทำให้แพลตฟอร์ม E-commerce หรือ Marketplace ต่างๆ ต้องเร่งพัฒนาและแข่งขันกันเรื่องบริการจัดส่ง เพื่อสร้างความประทับใจตั้งแต่การกดสั่งซื้อไปจนถึงมือผู้รับ

แพลตฟอร์มที่ส่งเร็วกว่า มักมีโอกาสปิดการขายได้มากกว่า ลูกค้ามักเลือกซื้อจากร้านที่การันตีส่งไว แม้ราคาจะสูงกว่าเล็กน้อย เพราะ “ความสะดวกและทันใจ” คือความคุ้มค่าที่ลูกค้าให้ความสำคัญมากขึ้นเรื่อยๆ

ส่งด่วน “ภายในวัน” สำคัญแค่ไหน

จัดส่ง ภายในวัน สำคัญแค่ไหน
Same Day Delivery – จัดส่งสินค้าภายในวัน

สำหรับร้านค้าออนไลน์ การส่งด่วน จะช่วยลดโอกาสที่ลูกค้าจะยกเลิกออเดอร์และเพิ่มความพึงพอใจจากการได้รับสินค้าไวทันใจ โดยเฉพาะในยุคที่ผู้บริโภคคาดหวังความเร็ว การจัดการหลังบ้านจึงต้องทำงานไวขึ้นทั้งในขั้นตอน แพ็กสินค้า การประสานกับขนส่งให้ส่งทันรอบ ถ้าร้านค้าทำได้จะช่วยรักษาคะแนนร้านในแพลตฟอร์มและสร้างความน่าเชื่อถือให้ลูกค้าอยากกลับมาซื้อซ้ำอีกทั้งยังช่วยเพิ่มโอกาสการเข้าร่วมแคมเปญพิเศษเพื่อเพิ่มยอดขายได้ง่ายขึ้นอีกด้วย

ผลกระทบหาก ส่งช้า

ผลกระทบการส่งล่าช้า ส่งของช้า
ผลกระทบการส่งล่าช้า ส่งของช้า

นโยบายการ “ส่งภายในวัน” หากร้านค้าทำไม่ได้ตามเงื่อนไขที่กำหนด ไม่ว่าจะเกิดจากปัญหาเรื่องแพ็กไม่ทัน พนักงานแพ็กไม่พอ จนทำให้ออเดอร์จัดส่งล่าช้าเกิดกำหนด ร้านค้าอาจจะต้องเจอกับผลกระทบที่ร้ายแรงจนทำให้เสียโอกาสในการขายได้ดังนี้

  • ออเดอร์อาจจะถูกยกเลิกจากลูกค้าเนื่องจากรอสินค้านาน
  • ออเดอร์ถูกยกเลิกเองอัตโนมัติเนื่องจากร้านค้ามีการกดพร้อมจัดส่งแต่ไม่ได้มอบให้ขนส่ง
  • ได้รับบทลงโทษหรือคะแนนความประพฤติจาก Marketplace ส่งผลต่อคะแนนร้านค้าและอันดับในการค้นหาและการมองเห็นของสินค้าจะลดลง
  • เสียสิทธิ์การเข้าร่วมแคมเปญการขาย เพราะ แพลตฟอร์มมองว่าร้านค้ามีเกณฑ์คะแนนที่ต่ำจากการได้รับคะแนนความประพฤติ
  • หากได้รับคะแนนความประพฤติสะสมต่อเนื่องอาจทำให้ร้านค้าถูกระงับการขายชั่วคราวหรือถาวรไปเลยก็ได้

การเปลี่ยนแปลงเรื่องระยะเวลาเตรียมจัดส่งของ Marketplace ที่ไม่มีความแน่นอน อาจทำให้พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์หลาย ๆ คนรู้สึกกังวลว่าจะปรับตัวทันหรือไม่ แต่ที่ MyCloud Fulfillment ผู้ให้บริการคลังสินค้าออนไลน์และดูแลเรื่องหลังบ้านให้กับแบรนด์ชั้นนำหลายราย ยิ่งเข้าใจสถานการณ์นี้ดีและพร้อมรับมือทุกความเปลี่ยนแปลง

คลังสินค้าออนไลน์ครบวงจร
บริการคลังสินค้าออนไลน์ครบวงจร

ด้วยบริการคลังสินค้าออนไลน์ที่ครบวงจรทั้งระบบจัดการออเดอร์ที่แม่นยำ ดึงออเดอร์และอัปเดตสต๊อกทุก 5 นาที ทีมงานมืออาชีพของเราพร้อมแพ็กออเดอร์ตลอด 24 ชั่วโมง จัดส่งออเดอร์ให้กับขนส่งทุกวัน (ไม่เว้นวันเสาร์-อาทิตย์ หรือวันหยุดนักขัตฤกษ์) จึงมั่นใจทุกออเดอร์จะถูกจัดการได้ไว สินค้าจะถึงมือลูกค้าได้รวดเร็ว ส่งผลให้เรตติ้งร้านค้าไม่ตก ได้รับสิทธิ์เข้าร่วมแคมเปญพิเศษได้ง่ายขึ้น ดังนั้นถ้าคุณกำลังกังวลเรื่องการจัดส่ง “ภายในวัน” หรือกลัวจัดการออเดอร์ไม่ทัน สามารถทักเข้ามาปรึกษากับเราเพิ่มกับทีม MyCloud Fulfillment ของเราได้เลยค่ะ

ติดต่อเราได้ที่นี่

ระยะเวลา ส่งด่วน แต่ละ Marketplace

1.Shopee

การเตรียมพัสดุเพื่อจัดส่ง Shopee ส่งด่วน ภายในวัน

*ตั้งแต่วันที่ 1 ก.ค 2568* นี้เป็นต้นไป ทางแพลตฟอร์มได้ปรับนโนบายระยะเวลาเตรียมจัดส่ง จากภายใน 1 วันเป็นส่ง “ภายในวัน”ซึ่งร้านค้าต้องจัดการคำสั่งซื้อที่เกิดขึ้นภายในเวลา 12.00 น.และส่งมอบให้กับขน ส่งภายในวัน ที่ลูกค้าสั่งซื้อเข้ามาก่อนเวลา 23.59 น. และหากเป็นคำสั่งซื้อที่เกิดขึ้นหลังเวลา 12.00 น. ต้องนำส่งให้กับขนส่งในวันถัดไป (หากเกิดกำหนดวันที่กำหนด จะถูกนับเป็นออเดอร์ล่าช้าทันที ) LSR (Late Shipment Rate)

  • คำสั่งซื้อในวันอาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ สามารถจัดส่งสินค้าได้ในวันถัดไปก่อนเวลา23.59 น.
  • สำหรับคำสั่งซื้อที่ยังไม่กด”จัดส่ง”ในระบบและไม่มีการส่งมอบพัสดุให้กับขนส่งตามวันที่กำหนด ออเดอร์ก็จะถูกยกเลิกในวันที่ 3 ทันที หรือหากเป็น
  • คำสั่งซื้อที่กด”จัดส่ง”แล้วแต่ยังไม่ส่งมอบให้ขนส่งก็จะถูกยกเลิกอัตโนมัติในวันที่ 4 ตามภาพตารางด้านบนนี้เลยค่ะ

2.TikTok Shop

TikTok Shop ถือเป็นอีกหนึ่งแพลตฟอร์มที่ปรับระยะเวลาเตรียมจัดส่งให้เร็วขึ้นเช่นกัน โดยมีรายละเอียดดังนี้

SLA TikTok Shop ระยะเวลาเตรียมส่งพัสดุ ช่องทางการขาย ติ๊กต๊อก ส่งด่วน ภายในวัน
  • คำสั่งซื้อที่เกิดขึ้นก่อนเวลา 12:00 น

คำสั่งซื้อจะต้องได้รับการส่งมอบและตรวจสอบโดยผู้ให้บริการขนส่ง ภายในเวลา 23:59 น. ในวันทำการเดียวกัน (วันจันทร์ -วันเสาร์)

  • คำสั่งซื้อที่เกิดขึ้นหลังเวลา 12:00 น.

คำสั่งซื้อจะต้องได้รับการส่งมอบและตรวจสอบโดยผู้ให้บริการขนส่ง ภายในเวลา 23:59 น. ในวันทำการถัดไป

“วันทำการ” หมายถึงวันใดก็ได้ตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันเสาร์ วันอาทิตย์และวันหยุดราชการไม่ถือเป็นวันทำการ

  • คำสั่งซื้อวันอาทิตย์และวันหยุดนักขัตฤกษ์ สามารถกดพร้อมจัดส่งถึง 23.59 น.ของวันถัดไป

3.Lazada

มาในฝั่งของ Lazada กันบ้างแม้ว่าจะเป็นแพลตฟอร์มเดียวที่ยังยืดหยุ่นให้กับผู้ขายเพราะระยะเวลาเตรียมจัดส่งสินค้าได้ถูกแบ่งออกเป็น 2 เกณฑ์ นั่นก็คือ อัตราการจัดส่งเร็ว FFR (Fast Fulfillment Rate) และ อัตราการจัดส่งเร็วภายในวัน FFR+ (Fast Fulfillment Rate+)

  • FFR อัตราการจัดส่งเร็ว : ผู้ขายจะต้องส่งมอบพัสดุให้กับขนส่งภายใน 1 วันหลังจากที่ได้รับคำสั่งซื้อก่อนเวลา 23.59 น.
  • FFR+ อัตราการจัดส่งเร็วภายในวัน : คำสั่งซื้อภายใน 12.00 น. ต้องส่งมอบให้ขนส่ง”ภายในวัน“ก่อนเวลา 23.59 น. (สามารถศึกษาระยะเวลาเตรียมจัดส่งสินค้า FFR+ อัตราส่งเร็วภายในวันจากตารางด้านล่างนี้เลย)
SLA ระยะเวลาในการเตรียมออเดอร์จัดส่งช่องทางการขาย Lazada  FFR+ อัตราการส่งเร็วภายในวัน ส่งด่วน ภายในวัน
  • เปรียบเทียบระหว่าง FFR และ FFR+
อัตราการจัดส่งเร็ว FFR (Fast Fulfillment Rate) และ อัตราการจัดส่งเร็วภายในวัน FFR+ (Fast Fulfillment Rate+)

การที่ร้านค้าสามารถจัดส่งได้ตามเกณฑ์ FFR และ FFR+ ย่อมเป็นเรื่องที่ดีทั้งคู่ แต่แน่นอนอยู่แล้วว่าหากร้านค้าไหนที่มีเปอร์เซ็นต์ตัวชี้วัด FFR+ หรืออัตราการส่งเร็วภายในวัน ที่สูงย่อมได้เปรียบและได้สิทธิ์พิเศษกว่าเสมอ เช่น

  • ได้รับความสำคัญในการแสดงผล (Higher Search Ranking): สินค้ามีโอกาสแสดงในอันดับที่สูงขึ้นเมื่อลูกค้าค้นหา ทำให้มีโอกาสถูกเห็นและคลิกมากขึ้น
  • เข้าร่วมโปรแกรมจัดส่งพิเศษ (Exclusive Delivery Programs): เช่น โปรแกรมจัดส่งภายในวันถัดไป (Next-Day Delivery) หรือการจัดส่งแบบรวดเร็วพิเศษ ซึ่งเป็นจุดเด่นที่ดึงดูดลูกค้าได้มาก
  • ได้รับสัญลักษณ์หรือป้ายพิเศษ (Special Badges/Labels): เพื่อบ่งบอกว่าเป็นร้านค้าที่มีการจัดส่งรวดเร็ว ทำให้ลูกค้ามั่นใจและตัดสินใจซื้อง่ายขึ้น
  • โอกาสในการเข้าร่วมแคมเปญใหญ่ๆ ก่อนใคร (Priority in Campaign Participation): Lazada อาจให้สิทธิ์ร้านค้าที่มี FFR+ สูงเข้าร่วมแคมเปญส่งเสริมการขาย หรือโปรโมชั่นใหญ่ๆ ได้ก่อน หรือได้รับสปอตไลต์ที่เด่นกว่า
  • เพิ่มความเชื่อมั่นและพึงพอใจของลูกค้า (Increased Customer Trust & Satisfaction): ลูกค้าจะได้รับสินค้าเร็วขึ้น นำไปสู่การรีวิวที่ดี การซื้อซ้ำ และการบอกต่อในเชิงบวก

3 วิธีปรับตัวให้รอดใน “สงคราม ส่งด่วน”

วิธีปรับตัวสำหรับร้านค้าออนไลน์
3 วิธีปรับตัวให้รอดใน “สงคราม ส่งด่วน
  1. ปรับระบบจัดการออเดอร์ให้เป็นอัตโนมัติ: ร้านค้าควรนำระบบอัตโนมัติที่สามารถจัดการออเดอร์ได้รวดเร็ว เช่น OMS (Order Management System) ซึ่งช่วยดึงคำสั่งซื้ออัตโนมัติและอัปเดตสต็อกสินค้าแบบเรียลไทม์ ช่วยให้การจัดส่งรวดเร็วทันใจ
  2. บริหารสต็อกสินค้าอย่างแม่นยำ: ร้านค้าจำเป็นต้องบริหารจัดการสต็อกให้แม่นยำและรวดเร็ว ระบบการจัดการสต็อกที่เชื่อมต่อทุกแพลตฟอร์ม (Omni-channel Management) จะช่วยลดปัญหาสินค้าหมดหรือสต็อกไม่ตรงกับการขาย
  3. ใช้บริการ Fulfillment มืออาชีพ: การเลือกใช้บริการ Fulfillment ที่มีความเชี่ยวชาญ จะช่วยให้ร้านค้าสามารถรับมือกับคำสั่งซื้อจำนวนมากได้อย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะช่วงแคมเปญใหญ่หรือวันที่ยอดขายพุ่งสูง บริการนี้จะช่วยดูแลตั้งแต่การเก็บสินค้า การแพ็กสินค้า ไปจนถึงการจัดส่ง ช่วยให้ร้านค้าสามารถโฟกัสกับการทำการตลาดและการขายได้เต็มที่

บทสรุป

MyCloud Fulfillment คลังสินค้าออนไลน์  มายคลาวด์
MyCloud Fulfillment คลังสินค้าออนไลน์ครบวงจร

ในสมรภูมิ “สงคราม ส่งด่วน” ที่ Marketplace ปรับนโยบายระยะเวลาเตรียมจัดส่งให้ร้านค้าต้องส่งของ “ภายในวัน” การจัดการหลังบ้านที่ดีจึงไม่ใช่แค่ทางเลือก แต่คือทางรอด ร้านค้าออนไลน์ที่อยากอยู่รอดและโตต่อ ต้องมีระบบจัดการหลังบ้านที่มีประสิทธิภาพ ดูแลและจัดการได้อย่างครอบคลุมทั้งเรื่องสต๊อกสินค้า การแพ็ก การส่งให้ทันตามเกณฑ์ของ Marketplace ซึ่ง MyCloud Fulfillment พร้อมเป็นหลังบ้านให้ธุรกิจของคุณ ด้วยคลังสินค้าออนไลน์มืออาชีพที่ให้บริการได้ครบวงจร ในเรื่องของการ เก็บ แพ็ก ส่ง พร้อมระบบเชื่อมต่อทุกช่องทางขายแบบ Omni-channel ผ่าน API ที่อัปเดตสต๊อกทุก 5 นาที ใช้สต๊อกเดียวขายได้ทุกช่องทาง และทีมงานกว่า 1,200 คนที่พร้อมแพ็กออเดอร์ให้คุณได้ตลอด 24 ชั่วโมง ส่งสินค้าได้ทุกวัน (รวมวันเสาร์-อาทิตย์ และ วันหยุดนักขัติฤกษ์ ไม่ต้องกังวลเรื่องส่งไม่ทันหรือโดนบทลงโทษ (คะแนนความประพฤติ) จาก Marketplace อีกต่อไป ให้คุณโฟกัสกับการขายและการเติบโตได้อย่างเต็มที่ ส่วนเรื่องหลังบ้าน ปล่อยให้ MyCloud ช่วยจัดการ สนใจบริการคลังสินค้าอออนไลน์ติดต่อเราได้ที่นี่ คลิกเลย

ติดต่อขอใบเสนอราคา

บทความที่เกี่ยวข้อง

อ่านเพิ่มเติม

Customer Journey คืออะไร ยิ่งอยากขายยิ่งต้องเข้าใจลูกค้าให้มากขึ้น

“Customer Journey คืออะไร”ในยุคที่ธุรกิจออนไลน์เติบโตอย่างรวดเร็ว การเข้าใจว่าลูกค้าต้องการอะไรเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จของการขาย การเดินทางของลูกค้า (Customer Journey) ไม่ใช่แค่เส้นทางที่ลูกค้าซื้อสินค้า แต่เป็นกระบวนการที่ช่วยให้ธุรกิจเข้าใจความต้องการและพฤติกรรมของลูกค้าในแต่ละขั้นตอน ตั้งแต่การรับรู้สินค้าไปจนถึงการตัดสินใจซื้อ บทความนี้เราจะพาคุณมาทำความเข้าใจลูกค้าให้มากยิ่งขึ้นเพราะไม่เพียงแต่จะช่วยให้คุณเข้าใจพฤติกรรมลูกค้าแบบเจาะลึกแล้วมันยังส่งผลกับการเติบโตธุรกิจของคุณได้ในระยะยาวอีกด้วย Customer Journey คืออะไร? ในส่วนนี้จะหมายถึง “เส้นทางการเดินทางของลูกค้า” เป็นกระบวนการที่ลูกค้าเริ่มต้นรู้จักธุรกิจของคุณ จนถึงการกลายเป็นลูกค้าประจำหรือผู้สนับสนุนแบรนด์ ในแต่ละธุรกิจอาจจะมี Customer Journey ที่ไม่เหมือนกันซึ่งจะแบ่งเป็น 2 แบบนั้นก็คือ Customer Journey แบบ Push และ Customer Journey แบบ Pull แบบที่ 1 Customer Journey (Push) การที่แบรนด์ผลักดันข้อมูลหรือสินค้าสู่กลุ่มลูกค้าโดยไม่รอให้ลูกค้าเริ่มสนใจก่อนโดยจะแบ่งเป็น 5 ขั้นตอนดังนี้ 1. Awareness (การรับรู้) ในขั้นตอนนี้แบรนด์จะส่งข้อมูลเพื่อให้กลุ่มเป้าหมายรู้จักแบรนด์หรือสินค้าแม้ว่าพวกเขาจะยังไม่มีความสนใจในสินค้าโดยตรงผ่านช่องทางออนไลน์ต่างๆไม่ว่าจะเป็น 2. Consideration (การพิจารณา) ในขั้นตอนนี้ ลูกค้าที่เห็นโฆษณาเริ่มสนใจและต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อเปรียบเทียบสินค้า ทางแบรนด์จะต้องเสริมข้อมูลเพื่อให้ลูกค้าได้พิจารณาและรู้จักแบรนด์ได้ง่ายขึ้น 3. Purchase (การซื้อ) กระตุ้นการตัดสินใจในทันที […]

Customer Journey คืออะไร ยิ่งอยากขายยิ่งต้องเข้าใจลูกค้าให้มากขึ้น

“Customer Journey คืออะไร”ในยุคที่ธุรกิจออนไลน์เติบโตอย่างรวดเร็ว การเข้าใจว่าลูกค้าต้องการอะไรเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จของการขาย การเดินทางของลูกค้า (Customer Journey) ไม่ใช่แค่เส้นทางที่ลูกค้าซื้อสินค้า แต่เป็นกระบวนการที่ช่วยให้ธุรกิจเข้าใจความต้องการและพฤติกรรมของลูกค้าในแต่ละขั้นตอน ตั้งแต่การรับรู้สินค้าไปจนถึงการตัดสินใจซื้อ บทความนี้เราจะพาคุณมาทำความเข้าใจลูกค้าให้มากยิ่งขึ้นเพราะไม่เพียงแต่จะช่วยให้คุณเข้าใจพฤติกรรมลูกค้าแบบเจาะลึกแล้วมันยังส่งผลกับการเติบโตธุรกิจของคุณได้ในระยะยาวอีกด้วย Customer Journey คืออะไร? ในส่วนนี้จะหมายถึง “เส้นทางการเดินทางของลูกค้า” เป็นกระบวนการที่ลูกค้าเริ่มต้นรู้จักธุรกิจของคุณ จนถึงการกลายเป็นลูกค้าประจำหรือผู้สนับสนุนแบรนด์ ในแต่ละธุรกิจอาจจะมี Customer Journey ที่ไม่เหมือนกันซึ่งจะแบ่งเป็น 2 แบบนั้นก็คือ Customer Journey แบบ Push และ Customer Journey แบบ Pull แบบที่ 1 Customer Journey (Push) การที่แบรนด์ผลักดันข้อมูลหรือสินค้าสู่กลุ่มลูกค้าโดยไม่รอให้ลูกค้าเริ่มสนใจก่อนโดยจะแบ่งเป็น 5 ขั้นตอนดังนี้ 1. Awareness (การรับรู้) ในขั้นตอนนี้แบรนด์จะส่งข้อมูลเพื่อให้กลุ่มเป้าหมายรู้จักแบรนด์หรือสินค้าแม้ว่าพวกเขาจะยังไม่มีความสนใจในสินค้าโดยตรงผ่านช่องทางออนไลน์ต่างๆไม่ว่าจะเป็น 2. Consideration (การพิจารณา) ในขั้นตอนนี้ ลูกค้าที่เห็นโฆษณาเริ่มสนใจและต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อเปรียบเทียบสินค้า ทางแบรนด์จะต้องเสริมข้อมูลเพื่อให้ลูกค้าได้พิจารณาและรู้จักแบรนด์ได้ง่ายขึ้น 3. Purchase (การซื้อ) กระตุ้นการตัดสินใจในทันที […]