Knowledge Center

เจาะลึก “Future of Commerce” จาก MyCloud Press Conference 2020

“การเปลี่ยนแปลงของธุรกิจออนไลน์จากวิกฤติโควิด 19 และ ทิศทางการขายในโลกอนาคต ” 

          ช่วงวิกฤต COVID-19 ที่ผ่านมามีหลาย ๆ ธุรกิจได้รับผลกระทบ ทำให้ต้องปรับตัว หรือเปลี่ยนแนวทางในการดำเนินธุรกิจ ซึ่งเป็นผลมาจากพฤติกรรมและวิถีชีวิตของผู้บริโภคที่เปลี่ยนไป ทำให้มีธุรกิจที่สู้ไม่ไหว ไปต่อไม่ได้ หรือต้องยกเลิกกิจการไปก็มี แต่ในทางกลับกันก็มีธุรกิจที่เติบโตขึ้นอย่างธุรกิจ E-Commerce ที่มียอดขายเพิ่มขึ้นเนื่องจาก Social Distancing ทำให้การซื้อสินค้าผ่านช่องทางออนไลน์เติบโตอย่างก้าวกระโดดนั่นเอง 

          ซึ่ง MyCloudFulfillment ผู้ให้บริการคลังสินค้าออนไลน์แบบครบวงจร ตั้งแต่การ เก็บ แพ็ค ส่งสินค้า ไปจนถึงการเชื่อมต่อช่องทางการขายอัตโนมัติ ที่ช่วยอำนวยความสะดวก และจัดการงานหลังบ้านการขายให้ธุรกิจ E-Commerce สามารถเติบโตขึ้นอย่างยั่งยืนก็ได้เติบโตควบคู่ไปด้วยในช่วงวิกฤติ และมียอดออเดอร์พุ่งสูงถึง 100,000 ออเดอร์ต่อเดือน ได้จัดงานแถลงข่าวเนื่องในโอกาสที่ MyCloud ได้รับการระดมทุนรอบ Series A มูลค่า 2 ล้านดอลลาร์ในวันที่ 8 ตุลาคม 2563 ที่ผ่านมา ซึ่งเราก็ได้นำเอามุมมองของคุณเมฆ นิธิ สัจจทิพวรรณ Chief Executive Officer (CEO) ของเรา ที่เป็นหนึ่งในผู้ที่เห็นการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจออนไลน์เเบบเจาะลึกมากที่สุด และได้เห็นแนวโน้มอนาคตของการขาย (Future of Commerce) มาแชร์ให้กับผู้ขายออนไลน์ หรือคนทำธุรกิจทุกท่านในวันนี้นั่นเองค่ะ

แม้ว่าในปัจจุบันตลาดช็อปปิ้งออนไลน์โตขึ้นอย่างก้าวกระโดด แต่ก็ไม่ใช่ทุกร้านออนไลน์ที่จะขายดีและอยู่รอด แต่ประเทศไทยมีโอกาสที่ E-Commerce จะเติบโตไปได้อีกไกล

          หากศึกษาข้อมูลการเติบโต และรายได้ธุรกิจ E-Commerce ทั่วโลกอ้างอิงจาก Digital Market Outlook ของ Statista จะเห็นได้ว่ามีอัตราการเติบโตขึ้นจากปี 2019 อยู่ที่ 25.6 % ซึ่งส่วนใหญ่เป็นผลมาจากภูมิภาคเอเชียเป็นหลัก โดยการเติบโตของตลาด E-Commerce ของเอเชียอยู่ที่ 29.1% จึงปฎิเสธไม่ได้เลยว่าทำไมธุรกิจ E-Commerce ในทวีปจึงมีความโดดเด่นและน่าจับตามองที่สุด ที่นี้เจาะลึกมาที่ประเทศไทยของเรา ที่แม้ว่าจะไม่ใช่ประเทศที่มีอัตราผู้ใช้งาน และรายได้ออนไลน์สูงที่สุด ซึ่งอินโดนีเซียครองอันดับ 1 เนื่องจากมีประชากรมากกว่า และมีเศรษฐกิจดิจิทัลที่ใหญ่กว่า แต่สำหรับค่าใช้จ่ายออนไลน์ต่อหัว (Average revanue per user) ไทยเราเทียบเท่าอินโดนีเซีย และมีอัตราการเติบโตสูงกว่าด้วยซ้ำ ทั้ง ๆ ที่ในประเทศไทยยังมีประชากรเพียงแค่ 60% เท่านั้นที่เข้าถึงการซื้อขายออนไลน์ หรือใช้งานอินเตอร์เน็ต นั่นหมายความว่า ประเทศไทยของเรามีอัตราการซื้อขาย สินค้าออนไลน์สูงมาก และในอนาคตยังมีโอกาสที่คนจะเข้าถึงการใช้งานได้มากขึ้น ดังนั้นโอการที่ E-Commerce ในไทยจะเติบโตไปได้อีกไกล

ช่องทางการขาย E-Commerce และสินค้าชนิดไหนที่มาแรงในช่วงวิกฤต หลังวิกฤตและในอนาคต

          สำหรับช่องทางการขาย E-Commerce Marketplace กินส่วนแบ่งการตลาดใหญ่ที่สุดถึง 43% เนื่องจากมีการทำการตลาด โปรโมท และโฆษณาอย่างมากในปีที่ผ่านมา โดย Marketplace รายใหญ่ที่มีความน่าเชื่อถือและเป็นที่นิยมได้แก่ Lazada, Shopee, JD Central, Wemall เป็นต้น รองลงมาเป็นเว็บไซต์ส่วนตัว 24% อย่าง JiB, Konvy, EVEANDBOY และ Tesco Lotus นอกจากนี้เป็น Social Media 25% ที่มีการทำ Social Commerce บน YouTube, Facebook, Instagram, Twitter เป็นต้น และอีก 8% เป็นช่องทางใหม่ใหม่ที่เพิ่มขึ้นมาอย่าง Live Streaming หรือ TikTok ซึ่งช่องทางที่เกิดขึ้นใหม่หรือเก่าล้วนแล้วแต่มีความโดดเด่น และความจำเป็นต่อธุรกิจ ดังนั้นธุรกิจไม่ควรพึ่งเพียงแค่ช่องทางใดช่องทางหนึ่งเท่านั้น

          เนื่องจากเราบริการคลังสินค้าออนไลน์ให้กับธุรกิจทุกประเภท ดังนั้นจึงได้สัมผัสและรู้ข้อมูล แนวโน้มสถิติยอดขาย ของสินค้าแต่ละประเภทว่าสินค้าชนิดไหนที่มาแรงในช่วงวิกฤต หลังวิกฤตและคาดการณ์อนาคตดังนี้

          เทรนด์ที่น่าสนใจแรกอยู่ที่อาหาร เครื่องดื่ม และอุปกรณ์เครื่องใช้ภายในบ้าน (Food & Beverage & Home care) ซึ่งเติบโตเป็นอันดับหนึ่งในช่วง COVID-19 ช่วงหลัง COVID-19 เนื่องจากกลุ่มผู้ใช้งานใหม่ ๆ ที่มีอายุมากเริ่มคุ้นชินกับการซื้อของออนไลน์มากขึ้น และเล็งเห็นว่ามันก็ง่าย สะดวกและราคาก็ไม่ได้แพงอย่างที่คิด ดีกว่าต้องขับรถไปแบกของด้วยตนเอง ซึ่งในอนาคตก็มีแนวโน้มเติบโตในตลาดออนไลน์ต่อไปเรื่อย ๆ เนื่องจากเป็นสินค้าที่มีความแน่นอน ไม่ต้องทดลองใช้งาน และมีน้ำหนักมาก เมื่อซื้อออนไลน์ส่งถึงที่จึงสะดวกมากกว่า

          กลุ่มที่สองคือ สุขภาพและความงาม (Beauty & Personal Care)ในช่วง COVID-19 มียอดเพิ่มสูงขึ้น อาจเป็นเพราะคนหันมาสนใจในตัวเองมากขึ้นก็เป็นได้ จึงดูแลสุขภาพและความงามเพิ่มขึ้นนั่นเอง แต่หลังจาก COVID-19 ยอดกลับลดลง เนื่องจากเป็นสินค้าที่ต้องได้รับคำแนะนำ หรือต้องมีการทดลองใช้ แต่อย่างไรก็ตามแนวโน้มในอนาคตน่าจะเติบโตขึ้นได้ เนื่องจากมีช่องทางการขายที่เติบโตขึ้น มี Influencer มีการรีวิวสินค้าต่าง ๆ เพิ่มมากขึ้นนั่นเอง

          และกลุ่มสุดท้าย Fashion เครื่องแต่งกาย ที่ในช่วง COVID-19 ได้รับผลกระทบมากที่สุดเพราะคนอยู่แต่บ้านไม่ได้ออกไปไหน แล้วหลังจาก COVID-19 ก็มียอดสูงขึ้นมาแต่ยังไม่มากเนื่องจากธุรกิจแฟชั่นจะเกี่ยวข้องกับการท่องเที่ยวโดยตรง ดังนั้นอนาคตในการท่องเที่ยวที่ไม่แน่นอนจึงส่งผลในการขายสินค้าแฟชั่นให้ท้าทายมากยิ่งขึ้น

E-Commerce ในประเทศไทยไม่ได้ใหญ่ที่สุด แต่อยู่ในจุดที่หอมหวาน น่าสนใจที่สุด (Thailand is in the sweet spot)

          กล่าวโดยสรุปก็คือ ตลาด E-Commerce ในเอเชียใหญ่มาก ๆ มีการเติบโตสูงที่สุด และยังเติบโตอยู่อย่างต่อเนื่อง ซึ่งกำลังจ่ายของคนไทยมีมากเทียบเท่ากับอินโดนีเซียที่ใหญ่เป็นอันดับหนึ่งในเอเชีย เราจึงมีโอกาสเติบโตขึ้นอีกมากหากคนไทยเข้าถึงอินเตอร์เน็ตมากขึ้น นั่นเป็นเหตุผลที่ E-Commerce เจ้าใหญ่ ๆ มาลงทุนในไทยเยอะ ดังนั้นหากใครที่ยังไม่ได้เริ่มธุรกิจออนไลน์ นี่อาจเป็นเวลาที่เหมาะสมที่สุดในการเริ่มต้นธุรกิจ E-Commerce 

สนใจศึกษาและลงทะเบียนได้ที่ www.mycloudfulfillment.com
หรือสอบถามข้อมูลเพิ่มเติม
โทร: 092-472-7742, 02-138-9920
อีเมล: [email protected]
line: @mycloudgroup
MyCloudFulfillment ขายของง่ายไม่ต้องแตะสต๊อก
บริการคลังสินค้าออนไลน์ เก็บ แพ็ค ส่ง ครบวงจร

บทความที่เกี่ยวข้อง

อ่านเพิ่มเติม

เจาะลึกโมเดลธุรกิจการเป็นตัวแทนจำหน่าย ไม่สต๊อกสินค้า (Dropship) คืออะไร  

ปัจจุบันใคร ๆ ก็ยึดอาชีพการขายของออนไลน์เป็นหลักกันทั้งนั้น เพราะสามารถทำได้ค่อนข้างง่าย โดยเฉพาะ รูปแบบการทำธุรกิจแบบเป็นตัวแทนจําหน่าย ไม่สต๊อกสินค้า หรือที่รู้จักกันในชื่อ Dropship ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย เพราะเป็นโมเดลธุรกิจที่เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการรายย่อยสามารถเริ่มต้นธุรกิจได้โดยไม่ต้องลงทุนสูง ไม่ต้องกังวลเรื่องการจัดการสินค้าคงคลังและมีความยืดหยุ่นสูง แต่ถึงแม้จะสามารถทำได้ง่าย แต่ถ้าขาดระบบการจัดการหลังบ้านที่ดีก็อาจจะทำให้การขายนั้นยากขึ้นได้ ในวันนี้ MyCloud จะพาไปทำความรู้จักกับการเป็นตัวแทนจําหน่ายแบบไม่สต๊อกสินค้า ข้อดี-ข้อเสีย และวิธีการบริหารจัดการระบบตัวแทนจำหน่ายให้มีประสิทธิภาพกัน   ตัวแทนจำหน่าย ไม่สต๊อกสินค้า คืออะไร ตัวแทนจำหน่าย ไม่สต๊อกสินค้าหรือ Dropship เป็นรูปแบบธุรกิจที่ตัวแทนจำหน่ายไม่จำเป็นต้องซื้อสินค้ามาเก็บไว้เองล่วงหน้า ไม่ต้องลงทุนในการสต๊อกสินค้าและไม่ต้องจัดส่งสินค้าเอง ซึ่งหน้าที่หลัก ๆ ตัวแทนจำหน่ายนั้น คือการนำข้อมูลสินค้า รูปภาพและรายละเอียดต่าง ๆ ไปทำการตลาดและประชาสัมพันธ์ผ่านช่องทางออนไลน์เพื่อหาลูกค้าให้กับร้านค้า เมื่อมีลูกค้าสนใจและตกลงซื้อสินค้า ตัวแทนจำหน่ายจะแจ้งคำสั่งซื้อไปยังเจ้าของสินค้า จากนั้นเจ้าของสินค้าจะเป็นผู้จัดส่งสินค้าจากคลังไปยังลูกค้าโดยตรง การเปิดขายของออนไลน์ด้วยรูปแบบนี้ ช่วยให้ผู้ที่อยากเริ่มต้นธุรกิจแต่มีทุนน้อย หรือผู้ที่ไม่ต้องการรับภาระในการจัดการสินค้าคงคลัง สามารถเริ่มต้นธุรกิจได้ง่าย เพียงแค่มีทักษะด้านการตลาดและการขายเพื่อนำเสนอสินค้าให้ถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้ เท่านี้ก็สามารถหารายได้จากช่องทางนี้ได้แล้ว    ข้อดีของการเป็นตัวแทนจำหน่าย ไม่สต๊อกสินค้า  การเป็นตัวแทนจำหน่ายแบบไม่สต๊อกสินค้ามีข้อดีมากมายทั้งสำหรับตัวแทนจำหน่ายเองและเจ้าของสินค้า มาดูกันว่ามีข้อดีอะไรบ้าง    ขายสินค้าได้หลากหลายอย่างพร้อมกัน สำหรับเจ้าของแบรนด์ การกระจายสินค้าให้หลากหลายและตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกัน ถือเป็นกลยุทธ์สำคัญในการขยายฐานลูกค้าและเพิ่มรายได้ การมีสินค้าเพียงประเภทเดียวอาจไม่เพียงพอในยุคที่พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงเร็ว ดังนั้น การเพิ่มไลน์ผลิตภัณฑ์ใหม่หรือเปิดรับตัวแทนจำหน่ายแบบไม่สต๊อกสินค้า (Dropship) […]

7 วิธีแพ็คสินค้าฉบับมือโปร ทำอย่างไรให้สินค้าถึงมือลูกค้าอย่างปลอดภัย 

สำหรับพ่อค้าแม่ค้าที่ขายของออนไลน์ หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่สร้างความประทับใจให้กับลูกค้า คือคุณภาพในการจัดส่งสินค้า นอกจากความรวดเร็วแล้ว การแพ็คสินค้าอย่างดีก็จะช่วยปกป้องสินค้าให้ถึงมือผู้รับในสภาพสมบูรณ์ วันนี้เรามีเทคนิคการแพ็คของออนไลน์แบบมืออาชีพมาฝากกัน โดยจะช่วยให้การจัดส่งสินค้าของคุณเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสร้างความประทับใจตั้งแต่ลูกค้าได้รับสินค้าเลย   แพ็คสินค้า ต้องเตรียมอุปกรณ์อะไรบ้าง  ก่อนจะเริ่มแพ็คสินค้า สิ่งสำคัญที่พ่อค้าแม่ค้าต้องเตรียมให้พร้อม คืออุปกรณ์สำหรับแพ็คของ การมีอุปกรณ์ที่ครบครันจะช่วยให้ขั้นตอนการแพ็คสามารถทำได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ โดยอุปกรณ์ที่ควรมีประกอบด้วย  7 วิธีการแพ็คสินค้าให้ถึงมือลูกค้าอย่างปลอดภัย  การแพ็คสินค้าให้ปลอดภัยไม่ใช่เรื่องยาก แต่ต้องใส่ใจในทุกขั้นตอน เพื่อให้มั่นใจว่าสินค้าจะถึงมือลูกค้าในสภาพสมบูรณ์ มาดูวิธีแพ็คของออนไลน์ที่ถูกต้องกันว่าจะมีอะไรบ้าง ดังนี้  1. เลือกขนาดกล่องให้เหมาะสมกับสินค้า ขั้นตอนแรกคือการเลือกบรรจุภัณฑ์หรือกล่องพัสดุให้เหมาะกับประเภทสินค้า เช่น เสื้อผ้าหรือสินค้าที่ทนต่อแรงกระแทกได้ดี สามารถใช้ซองพลาสติกได้ แต่สำหรับสินค้าที่แตกหักง่าย ก็จำเป็นต้องแพ็คสินค้าด้วยกล่องที่มีขนาดพอเหมาะ ไม่ใหญ่จนสินค้าขยับได้ และไม่เล็กเกินไปจนไม่มีพื้นที่ใส่วัสดุกันกระแทก  นอกจากนี้ คุณภาพและวัสดุของกล่องก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน โดยเฉพาะความหนาของกล่องที่ต้องทนทานพอที่จะปกป้องสินค้าจากการโยนของพนักงานขนส่ง หรือแรงกดทับเมื่อถูกวางซ้อนกับกล่องอื่น ๆ ปัจจุบันมีนวัตกรรมการผลิตกล่องใหม่ๆ ที่ช่วยเพิ่มความแข็งแรงโดยไม่เพิ่มน้ำหนักมากนัก ทำให้สามารถปกป้องสินค้าได้ดียิ่งขึ้นตลอดการเดินทางไปถึงมือลูกค้า   2. เลือกกล่องที่ได้คุณภาพ  การเลือกใช้กล่องคุณภาพดีเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาว โดยเฉพาะกล่องลูกฟูกที่มีความหนาและแข็งแรงเป็นพิเศษ เพราะถูกออกแบบมาให้ทนทานต่อการใช้งาน ซึ่งสามารถปกป้องสินค้าด้านใน ลดแรงกระแทกและความเสียระหว่างการขนส่ง เช่น การโยนสินค้า สินค้ามีน้ำหนักที่วางทับกัน เป็นต้น อย่างไรก็ตาม กล่องที่มีคุณภาพก็จะช่วยลดความเสี่ยงที่สินค้าจะเสียหายระหว่างการขนส่งได้   3. ป้องกันสินค้าด้วยวัสดุกันกระแทก การจัดส่งสินค้าให้ปลอดภัยต้องใส่ใจเรื่องการป้องกันการกระแทก […]

Big Data คืออะไร ขุมทรัพย์แห่งธุรกิจ E-Commerce & Logistics นำมาปรับใช้ได้อย่างไรบ้าง

         ต่อเนื่องกันกับเทคโนโลยีที่จะสามารถเปลี่ยนวิธีการดำเนินธุรกิจแบบเดิม ๆ ที่เราได้พูดถึงใน Technology & Trends ที่น่าลงทุนสำหรับธุรกิจ logistic ก็ยังมีอีกหลาย ๆ เทคโนโลยีที่ธุรกิจต่าง ๆ เริ่มนำเข้ามาช่วยอำนวยความสะดวกในการดำเนินธุรกิจมากขึ้นในปัจจุบันนี้ค่ะ เพื่อที่จะนำเทคโนโลยีที่เหมาะสมมาจัดการกับ “Big Data” วันนี้เราจะมาทำความรู้จัก Big Data ที่เกิดขึ้นจากการพัฒนาของเทคโนโลยีในการเก็บรวบรวมข้อมูลที่มีมากมายมหาศาลในปัจจุบัน และความสำคัญของ Big Data ในธุรกิจ E-Commerce และ Logistics กันค่ะ อีกทั้ง Big Data ยังถือเป็นตัวแปรสำคัญที่จะช่วยให้ธุรกิจปรับตัวเข้าสู่ยุค Digital Disruption หรือ ที่เรียกว่า Digital Transformation นั่นเองค่ะ  Big Data คืออะไร? Big Data คือข้อมูลตัวอักษรหรือสัญลักษณ์ทางคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในรูปแบบสัญญาณไฟฟ้า ในด้าน E-Commerce และ Logistics ข้อมูลถูกสร้างขึ้นใหม่อยู่เสมอโดยเทคโนโลยีดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็น […]

เจาะลึกโมเดลธุรกิจการเป็นตัวแทนจำหน่าย ไม่สต๊อกสินค้า (Dropship) คืออะไร  

ปัจจุบันใคร ๆ ก็ยึดอาชีพการขายของออนไลน์เป็นหลักกันทั้งนั้น เพราะสามารถทำได้ค่อนข้างง่าย โดยเฉพาะ รูปแบบการทำธุรกิจแบบเป็นตัวแทนจําหน่าย ไม่สต๊อกสินค้า หรือที่รู้จักกันในชื่อ Dropship ที่กำลังได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย เพราะเป็นโมเดลธุรกิจที่เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการรายย่อยสามารถเริ่มต้นธุรกิจได้โดยไม่ต้องลงทุนสูง ไม่ต้องกังวลเรื่องการจัดการสินค้าคงคลังและมีความยืดหยุ่นสูง แต่ถึงแม้จะสามารถทำได้ง่าย แต่ถ้าขาดระบบการจัดการหลังบ้านที่ดีก็อาจจะทำให้การขายนั้นยากขึ้นได้ ในวันนี้ MyCloud จะพาไปทำความรู้จักกับการเป็นตัวแทนจําหน่ายแบบไม่สต๊อกสินค้า ข้อดี-ข้อเสีย และวิธีการบริหารจัดการระบบตัวแทนจำหน่ายให้มีประสิทธิภาพกัน   ตัวแทนจำหน่าย ไม่สต๊อกสินค้า คืออะไร ตัวแทนจำหน่าย ไม่สต๊อกสินค้าหรือ Dropship เป็นรูปแบบธุรกิจที่ตัวแทนจำหน่ายไม่จำเป็นต้องซื้อสินค้ามาเก็บไว้เองล่วงหน้า ไม่ต้องลงทุนในการสต๊อกสินค้าและไม่ต้องจัดส่งสินค้าเอง ซึ่งหน้าที่หลัก ๆ ตัวแทนจำหน่ายนั้น คือการนำข้อมูลสินค้า รูปภาพและรายละเอียดต่าง ๆ ไปทำการตลาดและประชาสัมพันธ์ผ่านช่องทางออนไลน์เพื่อหาลูกค้าให้กับร้านค้า เมื่อมีลูกค้าสนใจและตกลงซื้อสินค้า ตัวแทนจำหน่ายจะแจ้งคำสั่งซื้อไปยังเจ้าของสินค้า จากนั้นเจ้าของสินค้าจะเป็นผู้จัดส่งสินค้าจากคลังไปยังลูกค้าโดยตรง การเปิดขายของออนไลน์ด้วยรูปแบบนี้ ช่วยให้ผู้ที่อยากเริ่มต้นธุรกิจแต่มีทุนน้อย หรือผู้ที่ไม่ต้องการรับภาระในการจัดการสินค้าคงคลัง สามารถเริ่มต้นธุรกิจได้ง่าย เพียงแค่มีทักษะด้านการตลาดและการขายเพื่อนำเสนอสินค้าให้ถึงกลุ่มลูกค้าเป้าหมายได้ เท่านี้ก็สามารถหารายได้จากช่องทางนี้ได้แล้ว    ข้อดีของการเป็นตัวแทนจำหน่าย ไม่สต๊อกสินค้า  การเป็นตัวแทนจำหน่ายแบบไม่สต๊อกสินค้ามีข้อดีมากมายทั้งสำหรับตัวแทนจำหน่ายเองและเจ้าของสินค้า มาดูกันว่ามีข้อดีอะไรบ้าง    ขายสินค้าได้หลากหลายอย่างพร้อมกัน สำหรับเจ้าของแบรนด์ การกระจายสินค้าให้หลากหลายและตอบโจทย์กลุ่มเป้าหมายที่แตกต่างกัน ถือเป็นกลยุทธ์สำคัญในการขยายฐานลูกค้าและเพิ่มรายได้ การมีสินค้าเพียงประเภทเดียวอาจไม่เพียงพอในยุคที่พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนแปลงเร็ว ดังนั้น การเพิ่มไลน์ผลิตภัณฑ์ใหม่หรือเปิดรับตัวแทนจำหน่ายแบบไม่สต๊อกสินค้า (Dropship) […]

7 วิธีแพ็คสินค้าฉบับมือโปร ทำอย่างไรให้สินค้าถึงมือลูกค้าอย่างปลอดภัย 

สำหรับพ่อค้าแม่ค้าที่ขายของออนไลน์ หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่สร้างความประทับใจให้กับลูกค้า คือคุณภาพในการจัดส่งสินค้า นอกจากความรวดเร็วแล้ว การแพ็คสินค้าอย่างดีก็จะช่วยปกป้องสินค้าให้ถึงมือผู้รับในสภาพสมบูรณ์ วันนี้เรามีเทคนิคการแพ็คของออนไลน์แบบมืออาชีพมาฝากกัน โดยจะช่วยให้การจัดส่งสินค้าของคุณเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสร้างความประทับใจตั้งแต่ลูกค้าได้รับสินค้าเลย   แพ็คสินค้า ต้องเตรียมอุปกรณ์อะไรบ้าง  ก่อนจะเริ่มแพ็คสินค้า สิ่งสำคัญที่พ่อค้าแม่ค้าต้องเตรียมให้พร้อม คืออุปกรณ์สำหรับแพ็คของ การมีอุปกรณ์ที่ครบครันจะช่วยให้ขั้นตอนการแพ็คสามารถทำได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ โดยอุปกรณ์ที่ควรมีประกอบด้วย  7 วิธีการแพ็คสินค้าให้ถึงมือลูกค้าอย่างปลอดภัย  การแพ็คสินค้าให้ปลอดภัยไม่ใช่เรื่องยาก แต่ต้องใส่ใจในทุกขั้นตอน เพื่อให้มั่นใจว่าสินค้าจะถึงมือลูกค้าในสภาพสมบูรณ์ มาดูวิธีแพ็คของออนไลน์ที่ถูกต้องกันว่าจะมีอะไรบ้าง ดังนี้  1. เลือกขนาดกล่องให้เหมาะสมกับสินค้า ขั้นตอนแรกคือการเลือกบรรจุภัณฑ์หรือกล่องพัสดุให้เหมาะกับประเภทสินค้า เช่น เสื้อผ้าหรือสินค้าที่ทนต่อแรงกระแทกได้ดี สามารถใช้ซองพลาสติกได้ แต่สำหรับสินค้าที่แตกหักง่าย ก็จำเป็นต้องแพ็คสินค้าด้วยกล่องที่มีขนาดพอเหมาะ ไม่ใหญ่จนสินค้าขยับได้ และไม่เล็กเกินไปจนไม่มีพื้นที่ใส่วัสดุกันกระแทก  นอกจากนี้ คุณภาพและวัสดุของกล่องก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน โดยเฉพาะความหนาของกล่องที่ต้องทนทานพอที่จะปกป้องสินค้าจากการโยนของพนักงานขนส่ง หรือแรงกดทับเมื่อถูกวางซ้อนกับกล่องอื่น ๆ ปัจจุบันมีนวัตกรรมการผลิตกล่องใหม่ๆ ที่ช่วยเพิ่มความแข็งแรงโดยไม่เพิ่มน้ำหนักมากนัก ทำให้สามารถปกป้องสินค้าได้ดียิ่งขึ้นตลอดการเดินทางไปถึงมือลูกค้า   2. เลือกกล่องที่ได้คุณภาพ  การเลือกใช้กล่องคุณภาพดีเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาว โดยเฉพาะกล่องลูกฟูกที่มีความหนาและแข็งแรงเป็นพิเศษ เพราะถูกออกแบบมาให้ทนทานต่อการใช้งาน ซึ่งสามารถปกป้องสินค้าด้านใน ลดแรงกระแทกและความเสียระหว่างการขนส่ง เช่น การโยนสินค้า สินค้ามีน้ำหนักที่วางทับกัน เป็นต้น อย่างไรก็ตาม กล่องที่มีคุณภาพก็จะช่วยลดความเสี่ยงที่สินค้าจะเสียหายระหว่างการขนส่งได้   3. ป้องกันสินค้าด้วยวัสดุกันกระแทก การจัดส่งสินค้าให้ปลอดภัยต้องใส่ใจเรื่องการป้องกันการกระแทก […]

Big Data คืออะไร ขุมทรัพย์แห่งธุรกิจ E-Commerce & Logistics นำมาปรับใช้ได้อย่างไรบ้าง

         ต่อเนื่องกันกับเทคโนโลยีที่จะสามารถเปลี่ยนวิธีการดำเนินธุรกิจแบบเดิม ๆ ที่เราได้พูดถึงใน Technology & Trends ที่น่าลงทุนสำหรับธุรกิจ logistic ก็ยังมีอีกหลาย ๆ เทคโนโลยีที่ธุรกิจต่าง ๆ เริ่มนำเข้ามาช่วยอำนวยความสะดวกในการดำเนินธุรกิจมากขึ้นในปัจจุบันนี้ค่ะ เพื่อที่จะนำเทคโนโลยีที่เหมาะสมมาจัดการกับ “Big Data” วันนี้เราจะมาทำความรู้จัก Big Data ที่เกิดขึ้นจากการพัฒนาของเทคโนโลยีในการเก็บรวบรวมข้อมูลที่มีมากมายมหาศาลในปัจจุบัน และความสำคัญของ Big Data ในธุรกิจ E-Commerce และ Logistics กันค่ะ อีกทั้ง Big Data ยังถือเป็นตัวแปรสำคัญที่จะช่วยให้ธุรกิจปรับตัวเข้าสู่ยุค Digital Disruption หรือ ที่เรียกว่า Digital Transformation นั่นเองค่ะ  Big Data คืออะไร? Big Data คือข้อมูลตัวอักษรหรือสัญลักษณ์ทางคอมพิวเตอร์ที่อยู่ในรูปแบบสัญญาณไฟฟ้า ในด้าน E-Commerce และ Logistics ข้อมูลถูกสร้างขึ้นใหม่อยู่เสมอโดยเทคโนโลยีดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็น […]