Knowledge Center

Customer Journey คืออะไร ยิ่งอยากขายยิ่งต้องเข้าใจลูกค้าให้มากขึ้น

Customer Journey คืออะไร?

“Customer Journey คืออะไร”ในยุคที่ธุรกิจออนไลน์เติบโตอย่างรวดเร็ว การเข้าใจว่าลูกค้าต้องการอะไรเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จของการขาย การเดินทางของลูกค้า (Customer Journey) ไม่ใช่แค่เส้นทางที่ลูกค้าซื้อสินค้า แต่เป็นกระบวนการที่ช่วยให้ธุรกิจเข้าใจความต้องการและพฤติกรรมของลูกค้าในแต่ละขั้นตอน ตั้งแต่การรับรู้สินค้าไปจนถึงการตัดสินใจซื้อ บทความนี้เราจะพาคุณมาทำความเข้าใจลูกค้าให้มากยิ่งขึ้นเพราะไม่เพียงแต่จะช่วยให้คุณเข้าใจพฤติกรรมลูกค้าแบบเจาะลึกแล้วมันยังส่งผลกับการเติบโตธุรกิจของคุณได้ในระยะยาวอีกด้วย

Customer Journey คืออะไร?

ในส่วนนี้จะหมายถึง “เส้นทางการเดินทางของลูกค้า” เป็นกระบวนการที่ลูกค้าเริ่มต้นรู้จักธุรกิจของคุณ จนถึงการกลายเป็นลูกค้าประจำหรือผู้สนับสนุนแบรนด์ ในแต่ละธุรกิจอาจจะมี Customer Journey ที่ไม่เหมือนกันซึ่งจะแบ่งเป็น 2 แบบนั้นก็คือ Customer Journey แบบ Push และ Customer Journey แบบ Pull

แบบที่ 1 Customer Journey (Push)

การที่แบรนด์ผลักดันข้อมูลหรือสินค้าสู่กลุ่มลูกค้าโดยไม่รอให้ลูกค้าเริ่มสนใจก่อนโดยจะแบ่งเป็น 5 ขั้นตอนดังนี้

customer journey push

1. Awareness (การรับรู้)

ในขั้นตอนนี้แบรนด์จะส่งข้อมูลเพื่อให้กลุ่มเป้าหมายรู้จักแบรนด์หรือสินค้าแม้ว่าพวกเขาจะยังไม่มีความสนใจในสินค้าโดยตรงผ่านช่องทางออนไลน์ต่างๆไม่ว่าจะเป็น

  • การยิงโฆษณาผ่าน Facebook Ads, Instagram Ads, หรือ Google Display Ads ที่แสดงข้อความ เช่น
    “ลด 50% เฉพาะวันนี้! รีบคลิกด่วน!” พร้อมรูปภาพสินค้าที่ดึงดูดความสนใจ
  • การแจกใบปลิวโปรโมชันในงานแสดงสินค้า
  • การส่ง SMS หรือ Push Notification ไปยังกลุ่มลูกค้าเก่า

2. Consideration (การพิจารณา)

ในขั้นตอนนี้ ลูกค้าที่เห็นโฆษณาเริ่มสนใจและต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อเปรียบเทียบสินค้า ทางแบรนด์จะต้องเสริมข้อมูลเพื่อให้ลูกค้าได้พิจารณาและรู้จักแบรนด์ได้ง่ายขึ้น

  • การส่งอีเมลแนะนำสินค้าพร้อมลิงก์ไปยังหน้าเว็บไซต์ที่มีข้อมูลสินค้า
  • การโฆษณา Retargeting เช่น โชว์โฆษณาสินค้าที่ลูกค้าเคยดูซ้ำบน Facebook หรือ Google
  • การจัดแคมเปญ Live Streaming บน TikTok พร้อมตอบคำถามลูกค้าแบบเรียลไทม์
ซื้อสินค้าออนไลน์

3. Purchase (การซื้อ)

กระตุ้นการตัดสินใจในทันที โดยการสร้างแรงจูงใจ เช่น โปรโมชันพิเศษ หรือความเร่งด่วนยกตัวอย่างเช่น

  • การส่งคูปองส่วนลด 10% ไปยังกลุ่มลูกค้าที่เพิ่มสินค้าลงตะกร้า แต่ยังไม่ได้ชำระเงิน
  • การใช้ข้อความโฆษณาที่สร้าง FOMO (Fear of Missing Out) เช่น “สินค้าเหลือเพียง 5 ชิ้น! สั่งซื้อตอนนี้เลย”
  • การแสดงโฆษณา Flash Sale บนหน้าจอมือถือของกลุ่มเป้าหมาย

4. Retention (การรักษาลูกค้า)

ในขั้นตอนนี้มุ่งเน้นการทำให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ หรือสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวผ่านการสื่อสารอย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็น

  • การส่งอีเมลขอบคุณหลังการซื้อ พร้อมคูปองส่วนลดสำหรับการซื้อครั้งถัดไป
  • การส่งข้อความแจ้งเตือนเกี่ยวกับสินค้าที่ลูกค้าชื่นชอบกำลังมีโปรโมชัน
  • การมอบสิทธิพิเศษเฉพาะสมาชิก เช่น “ลูกค้า VIP รับฟรีค่าส่ง!”

5. Advocacy (การเป็นผู้สนับสนุนแบรนด์)

ขั้นตอนนี้มุ่งเน้นการกระตุ้นให้ลูกค้าช่วยโปรโมตแบรนด์ต่อ เช่น การรีวิว หรือแนะนำเพื่อน

  • การส่งข้อความเชิญชวนลูกค้าให้เขียนรีวิวสินค้า พร้อมมอบรางวัลหรือส่วนลดพิเศษ
  • การจัด Referral Program เช่น “แนะนำเพื่อน รับส่วนลด 20% ทั้งคุณและเพื่อน”
  • การส่งข้อความขอบคุณลูกค้าประจำ พร้อมแนะนำสินค้าใหม่
customer journey push

กลยุทธ์แบบ Push ใน Customer Journey มีบทบาทสำคัญในการผลักดันข้อมูลและสร้างแรงจูงใจให้ลูกค้าทำตามเส้นทางที่แบรนด์ต้องการ ตั้งแต่การรับรู้จนถึงการสนับสนุนแบรนด์ การเลือกใช้ Push Strategy ให้เหมาะสมกับแต่ละขั้นตอนจะช่วยเพิ่มโอกาสปิดการขายและสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนกับลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

แบบที่ 2 Customer Journey (Pull)

การดึงดูดลูกค้าให้เข้าหาแบรนด์เอง ผ่านการสร้างความน่าสนใจหรือมอบคุณค่า เช่น การทำ SEO, Content Marketing, และการสร้างชุมชนออนไลน์ ลูกค้าจะเริ่มค้นหาแบรนด์หรือสินค้าเองเมื่อพวกเขาต้องการ และแบรนด์มีบทบาทในการตอบสนองความต้องการอย่างเหมาะสม ซึ่งจะแบ่งเป็น 5 ขั้นตอนด้วยเช่นกันดังนี้

ลูกค้าสนใจแบรนด์เอง customer journey pull strategy


1. Awareness (การรับรู้)

ลูกค้าเริ่มค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับปัญหาหรือความต้องการของตนเอง และแบรนด์สามารถดึงดูดพวกเขาผ่านเนื้อหาที่ตอบโจทย์

  • การเขียนบทความ SEO เช่น “5 วิธีเลือกอุปกรณ์ออกกำลังกายสำหรับมือใหม่”
  • การสร้างคลิปวิดีโอแนะนำสินค้าบน YouTube
  • การใช้ Google Ads ด้วยคำค้นหาที่เกี่ยวข้อง

ตัวอย่าง : ลูกค้าที่สนใจอยากเปิดร้านอาหาร ค้นหา “วิธีเลือกอุปกรณ์ครัว” ใน Google และพบเว็บไซต์ของคุณที่นำเสนอข้อมูลพร้อมขายอุปกรณ์ครบชุด

2. Consideration (การพิจารณา)

ลูกค้าเริ่มเปรียบเทียบตัวเลือก เช่น สินค้า ราคา ความน่าเชื่อถือของแบรนด์ หรือประสบการณ์ที่ผู้อื่นมีต่อแบรนด์

  • การเขียนบทความรีวิวสินค้า เช่น “รีวิวเปรียบเทียบกล้องถ่ายภาพ 3 รุ่นยอดนิยม”
  • การสร้างหน้าเว็บไซต์ที่อธิบายคุณสมบัติสินค้าอย่างละเอียด
  • การแสดงรีวิวจากลูกค้าจริง

ตัวอย่าง : ลูกค้าที่สนใจกล้องถ่ายภาพ อ่านรีวิวในเว็บไซต์ของคุณและเห็นว่าร้านค้าของคุณมีสินค้ารุ่นที่ตอบโจทย์พร้อมราคาที่เหมาะสม

3. Purchase (การซื้อ)

ลูกค้าตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าหรือบริการจากแบรนด์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของเขา

  • การนำเสนอโปรโมชันพิเศษในหน้าเว็บไซต์ เช่น “จัดส่งฟรีเมื่อซื้อครบ 1,000 บาท”
  • การสร้างระบบชำระเงินออนไลน์ที่ง่ายและปลอดภัย
  • การใช้ Chatbot ช่วยตอบคำถามลูกค้าในระหว่างการตัดสินใจซื้อ

ตัวอย่าง : ลูกค้าเพิ่มสินค้าลงตะกร้าและสั่งซื้อหลังจากได้รับโค้ดส่วนลดพิเศษที่แสดงบนเว็บไซต์

การรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้า

4.Retention (การรักษาลูกค้า)

ในขั้นตอนนี้มุ่งเน้นการสร้างความสัมพันธ์ระยะยาว เช่น การส่งเนื้อหาที่มีคุณค่าหรือข้อมูลที่น่าสนใจเพื่อให้ลูกค้ากลับมา

  • การส่งอีเมล Newsletter ที่ให้ข้อมูลสินค้าใหม่หรือเคล็ดลับการใช้งาน
  • การทำ Blog Post เพื่อแชร์ไอเดียการใช้งานสินค้าที่หลากหลาย
  • การสร้างชุมชนออนไลน์ เช่น Facebook Group สำหรับลูกค้า

ตัวอย่าง : ลูกค้าที่ซื้ออุปกรณ์ครัวจากร้านคุณ ได้รับอีเมลที่แนะนำสูตรอาหารใหม่ๆ พร้อมโปรโมชั่นพิเศษ และตัดสินใจกลับมาซื้ออีก

5. Advocacy (การสนับสนุนแบรนด์)

ลูกค้ากลายเป็นผู้สนับสนุนแบรนด์ โดยแชร์ประสบการณ์ดีๆ หรือแนะนำแบรนด์ให้คนอื่น

  • การสร้าง Referral Program เช่น “แนะนำเพื่อน รับส่วนลด 20%”
  • การกระตุ้นให้ลูกค้าเขียนรีวิวสินค้าในเว็บไซต์หรือ Social Media
  • การสร้างพื้นที่สำหรับแชร์ไอเดียหรือผลงานของลูกค้า เช่น แกลเลอรีในเว็บไซต์

ตัวอย่าง : ลูกค้าถ่ายรูปอุปกรณ์ครัวที่ซื้อมาพร้อมสูตรอาหาร และโพสต์ลง Instagram พร้อมแท็กแบรนด์ของคุณ

ลูกค้าประทับใจ

ดังนั้นกลยุทธ์แบบ Pull เน้นการให้ลูกค้าเข้าหาแบรนด์ด้วยตัวเอง ดังนั้นการสร้างเนื้อหาและประสบการณ์ที่ตอบโจทย์จะช่วยเสริมให้ Journey ของลูกค้าเป็นไปอย่างราบรื่น

ตารางเปรียบเทียบ Customer Journey แบบ Push และ Pull

customer journey

อย่างไรก็ตามการเลือกใช้กลยุทธ์ Customer Journey แบบ Push และ Pull ขึ้นอยู่กับเป้าหมายของธุรกิจและพฤติกรรมของลูกค้า หากต้องการกระตุ้นการซื้อในทันที ควรใช้ Push เช่น การโฆษณาและโปรโมชันเชิงรุก แต่หากต้องการสร้างความไว้วางใจและดึงดูดลูกค้าในระยะยาว ควรใช้ Pull เช่น การทำ SEO หรือ Content Marketing การผสมผสานทั้งสองกลยุทธ์อย่างเหมาะสมจะช่วยสร้างประสบการณ์ที่ดีและเพิ่มโอกาสปิดการขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ.

คลังสินค้าออนไลน์ MyCloud Fulfillment  ขายออนไลน์

หากคุณต้องการให้ Customer Journey ของธุรกิจออนไลน์เป็นไปอย่างราบรื่น MyCloud Fulfillment พร้อมช่วยให้ธุรกิจของคุณเติบโตแบบไม่มีสะดุด ด้วยบริการคลังสินค้าออนไลน์ครบวงจรที่ช่วยจัดการระบบหลังบ้านได้อย่างมืออาชีพ ไม่ว่าจะเป็นการอัปเดตสต็อกแบบเรียลไทม์และดึงออเดอร์ทุก 5 นาที รองรับการขายได้ลื่นไหล พร้อมคลังสินค้าขนาดใหญ่กว่า 12,000 ตร.ม. เปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง จัดการคำสั่งซื้อและจัดส่งอย่างรวดเร็ว สร้างความประทับใจและกระตุ้นการกลับมาซื้อซ้ำ ให้ MyCloud ช่วยเสริมเส้นทาง Customer Journey ของคุณให้มั่นคงและเติบโตอย่างยั่งยืน!

บทความที่เกี่ยวข้อง

อ่านเพิ่มเติม

รักษาฐานลูกค้าเก่าอย่างไร ให้อยู่กับเรานานๆ ?

รักษาฐานลูกค้าเก่าอย่างไร ให้อยู่กับเรานานๆ ? เค้าว่ากันว่า… หาลูกค้าใหม่ว่ายากแล้ว แต่การรักษาลูกค้าเก่าให้อยู่กับเรานานๆ ยากยิ่งกว่า!! ถึงแม้คุณจะหาลูกค้าใหม่ได้มากมายขนาดไหน แต่ถ้ารักษาลูกค้าไม่เป็น ธุรกิจก็อาจจะพังได้นะครับ เพราะมีผลวิจัยจาก Harvard Business School พบว่า การเพิ่มขึ้นของอัตราการรักษาลูกค้าเก่า 5% จะเพิ่มผลกำไรให้กับธุรกิจถึง 25-95% เลยทีเดียว เห็นถึงความสำคัญและพลังของลูกค้าเก่ากันแล้วใช่ไหมครับ? แล้วแบบนี้เราจะไม่หาวิธีมัดใจกลุ่มคนเหล่านี้หน่อยหรอ?? วันนี้แอดเลยขอนำเทคนิคเด็ดๆ มาฝากทุกคนครับ เพื่อนๆ สามารถนำไปปรับใช้กับธุรกิจได้เลย 😉 1.คุณภาพดีเหมือนเดิม รักษาคุณภาพสินค้าและบริการของคุณ ให้เหมือนเกลือที่รักษาความเค็ม ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน แต่คุณภาพต้องดีเสมอต้นเสมอปลาย เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมากครับ ถ้าลูกค้าเจออะไรที่มันผิดไปจากเดิมนิดหนึ่ง เขาก็อาจจะไปหาแบรนด์ใหม่ที่ดีกว่าก็ได้ 2.ใส่ใจลูกค้าสม่ำเสมอ อย่าเป็นร้านค้าที่ซื้อขายกันเสร็จแล้วก็จบไป อย่าเป็นร้านค้าที่เอาแต่จะขายของ อย่าเป็นร้านค้าที่หวังแต่ผลกำไรอย่างเดียว แต่จงเอาใจใส่ลูกค้าอย่างสม่ำเสมอ คอยติดตามสอบถาม Feedback จากลูกค้าด้วย รับฟังทุกเสียงคำติชม ทั้งดีและไม่ดี แล้วนำไปปรับปรุง 3.มอบสิทธิพิเศษเหนือใคร ใครๆ ก็อยากเป็นคนสำคัญ ใครๆ ก็อยากได้สิทธิพิเศษกันทั้งนั้น! เวลาที่คุณคิดจะจัดโปร อย่าลืมนึกถึงลูกค้าเก่าๆ ด้วยการมอบสิทธิพิเศษ เช่น […]

รู้จัก Chat Commerce คืออะไร ในยุคธุรกิจออนไลน์แบบนี้ การขายผ่านแชทดีอย่างไร

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าปัจจุบันแชทกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันไปแล้ว ทำให้หลากหลายแบรนด์ หรือธุรกิจจำนวนมากได้ปรับตัวและนำเอาช่องทางการสื่อสารนี้มาต่อยอดเป็นช่องทางการขาย จึงเกิดเป็นรูปแบบการค้าออนไลน์รูปแบบใหม่ที่เรียกว่า Chat Commerce ซึ่งกำลังได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศไทย เพราะไม่เพียงแต่สร้างความสะดวกสบายให้กับผู้ซื้อและผู้ขายเท่านั้น แต่ยังช่วยสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างแบรนด์กับลูกค้าอีกด้วย ดังนั้นในวันนี้ MyCloud Fulfillment จะพามาทำความรู้จักกับ Chat Commerce คืออะไร และมีข้อดีอย่างไรบ้างให้มากขึ้นในบทความนี้กัน   Chat Commerce คืออะไร  Chat Commerce คือรูปแบบการซื้อ-ขายสินค้าและบริการผ่านแพลตฟอร์มแชทต่าง ๆ ที่เน้นการสื่อสารแบบสองทางระหว่างผู้ขายและผู้ซื้อ โดยเป็นการผสมผสานระหว่างความสะดวกสบายของ E-Commerce เข้ากับความต้องการความเป็นส่วนตัวในการสนทนา ทำให้การซื้อขายมีความเป็นกันเองมากขึ้น ผู้ขายสามารถให้ข้อมูล ตอบคำถามและสร้างความประทับใจผ่านการพูดคุยได้โดยตรงผ่านกล่องข้อความ ซึ่งจะแตกต่างจากการซื้อ-ขายแบบเดิมที่จำเป็นต้องเห็นสินค้าจริงก่อน แล้วถึงจะตัดสินใจ ทำให้การสร้างความไว้วางใจผ่านการสนทนาในช่องแชท จึงเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้ลูกค้ากล้าตัดสินใจซื้อแม้จะยังไม่ได้เห็นสินค้าจริงนั่นเอง   หลักการทำงานของ Chat Commerce  หลักการทำงานของ Chat Commerce คือระบบจะใช้การทำงานแบบ Asynchronous ซึ่งสามารถดำเนินการหลายคำสั่งพร้อมกัน ทำให้การตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการสอบถามข้อมูลสินค้า การสั่งซื้อหรือการชำระเงิน ทุกขั้นตอนสามารถดำเนินการผ่านแชทได้อย่างครบวงจร พร้อมทั้งมีระบบรักษาความปลอดภัยที่น่าเชื่อถือ ทำให้การซื้อขายผ่านแชทเป็นที่นิยมมากขึ้นในปัจจุบัน  แพลตฟอร์ม Chat Commerce ที่ได้รับความนิยมในไทย ปัจจุบันมีแพลตฟอร์ม […]

รักษาฐานลูกค้าเก่าอย่างไร ให้อยู่กับเรานานๆ ?

รักษาฐานลูกค้าเก่าอย่างไร ให้อยู่กับเรานานๆ ? เค้าว่ากันว่า… หาลูกค้าใหม่ว่ายากแล้ว แต่การรักษาลูกค้าเก่าให้อยู่กับเรานานๆ ยากยิ่งกว่า!! ถึงแม้คุณจะหาลูกค้าใหม่ได้มากมายขนาดไหน แต่ถ้ารักษาลูกค้าไม่เป็น ธุรกิจก็อาจจะพังได้นะครับ เพราะมีผลวิจัยจาก Harvard Business School พบว่า การเพิ่มขึ้นของอัตราการรักษาลูกค้าเก่า 5% จะเพิ่มผลกำไรให้กับธุรกิจถึง 25-95% เลยทีเดียว เห็นถึงความสำคัญและพลังของลูกค้าเก่ากันแล้วใช่ไหมครับ? แล้วแบบนี้เราจะไม่หาวิธีมัดใจกลุ่มคนเหล่านี้หน่อยหรอ?? วันนี้แอดเลยขอนำเทคนิคเด็ดๆ มาฝากทุกคนครับ เพื่อนๆ สามารถนำไปปรับใช้กับธุรกิจได้เลย 😉 1.คุณภาพดีเหมือนเดิม รักษาคุณภาพสินค้าและบริการของคุณ ให้เหมือนเกลือที่รักษาความเค็ม ไม่ว่าเวลาจะผ่านไปนานแค่ไหน แต่คุณภาพต้องดีเสมอต้นเสมอปลาย เพราะเรื่องนี้เป็นเรื่องที่ละเอียดอ่อนมากครับ ถ้าลูกค้าเจออะไรที่มันผิดไปจากเดิมนิดหนึ่ง เขาก็อาจจะไปหาแบรนด์ใหม่ที่ดีกว่าก็ได้ 2.ใส่ใจลูกค้าสม่ำเสมอ อย่าเป็นร้านค้าที่ซื้อขายกันเสร็จแล้วก็จบไป อย่าเป็นร้านค้าที่เอาแต่จะขายของ อย่าเป็นร้านค้าที่หวังแต่ผลกำไรอย่างเดียว แต่จงเอาใจใส่ลูกค้าอย่างสม่ำเสมอ คอยติดตามสอบถาม Feedback จากลูกค้าด้วย รับฟังทุกเสียงคำติชม ทั้งดีและไม่ดี แล้วนำไปปรับปรุง 3.มอบสิทธิพิเศษเหนือใคร ใครๆ ก็อยากเป็นคนสำคัญ ใครๆ ก็อยากได้สิทธิพิเศษกันทั้งนั้น! เวลาที่คุณคิดจะจัดโปร อย่าลืมนึกถึงลูกค้าเก่าๆ ด้วยการมอบสิทธิพิเศษ เช่น […]

รู้จัก Chat Commerce คืออะไร ในยุคธุรกิจออนไลน์แบบนี้ การขายผ่านแชทดีอย่างไร

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าปัจจุบันแชทกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันไปแล้ว ทำให้หลากหลายแบรนด์ หรือธุรกิจจำนวนมากได้ปรับตัวและนำเอาช่องทางการสื่อสารนี้มาต่อยอดเป็นช่องทางการขาย จึงเกิดเป็นรูปแบบการค้าออนไลน์รูปแบบใหม่ที่เรียกว่า Chat Commerce ซึ่งกำลังได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศไทย เพราะไม่เพียงแต่สร้างความสะดวกสบายให้กับผู้ซื้อและผู้ขายเท่านั้น แต่ยังช่วยสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างแบรนด์กับลูกค้าอีกด้วย ดังนั้นในวันนี้ MyCloud Fulfillment จะพามาทำความรู้จักกับ Chat Commerce คืออะไร และมีข้อดีอย่างไรบ้างให้มากขึ้นในบทความนี้กัน   Chat Commerce คืออะไร  Chat Commerce คือรูปแบบการซื้อ-ขายสินค้าและบริการผ่านแพลตฟอร์มแชทต่าง ๆ ที่เน้นการสื่อสารแบบสองทางระหว่างผู้ขายและผู้ซื้อ โดยเป็นการผสมผสานระหว่างความสะดวกสบายของ E-Commerce เข้ากับความต้องการความเป็นส่วนตัวในการสนทนา ทำให้การซื้อขายมีความเป็นกันเองมากขึ้น ผู้ขายสามารถให้ข้อมูล ตอบคำถามและสร้างความประทับใจผ่านการพูดคุยได้โดยตรงผ่านกล่องข้อความ ซึ่งจะแตกต่างจากการซื้อ-ขายแบบเดิมที่จำเป็นต้องเห็นสินค้าจริงก่อน แล้วถึงจะตัดสินใจ ทำให้การสร้างความไว้วางใจผ่านการสนทนาในช่องแชท จึงเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้ลูกค้ากล้าตัดสินใจซื้อแม้จะยังไม่ได้เห็นสินค้าจริงนั่นเอง   หลักการทำงานของ Chat Commerce  หลักการทำงานของ Chat Commerce คือระบบจะใช้การทำงานแบบ Asynchronous ซึ่งสามารถดำเนินการหลายคำสั่งพร้อมกัน ทำให้การตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการสอบถามข้อมูลสินค้า การสั่งซื้อหรือการชำระเงิน ทุกขั้นตอนสามารถดำเนินการผ่านแชทได้อย่างครบวงจร พร้อมทั้งมีระบบรักษาความปลอดภัยที่น่าเชื่อถือ ทำให้การซื้อขายผ่านแชทเป็นที่นิยมมากขึ้นในปัจจุบัน  แพลตฟอร์ม Chat Commerce ที่ได้รับความนิยมในไทย ปัจจุบันมีแพลตฟอร์ม […]