Knowledge Center

Customer Journey คืออะไร ยิ่งอยากขายยิ่งต้องเข้าใจลูกค้าให้มากขึ้น

Customer Journey คืออะไร?

“Customer Journey คืออะไร”ในยุคที่ธุรกิจออนไลน์เติบโตอย่างรวดเร็ว การเข้าใจว่าลูกค้าต้องการอะไรเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จของการขาย การเดินทางของลูกค้า (Customer Journey) ไม่ใช่แค่เส้นทางที่ลูกค้าซื้อสินค้า แต่เป็นกระบวนการที่ช่วยให้ธุรกิจเข้าใจความต้องการและพฤติกรรมของลูกค้าในแต่ละขั้นตอน ตั้งแต่การรับรู้สินค้าไปจนถึงการตัดสินใจซื้อ บทความนี้เราจะพาคุณมาทำความเข้าใจลูกค้าให้มากยิ่งขึ้นเพราะไม่เพียงแต่จะช่วยให้คุณเข้าใจพฤติกรรมลูกค้าแบบเจาะลึกแล้วมันยังส่งผลกับการเติบโตธุรกิจของคุณได้ในระยะยาวอีกด้วย

Customer Journey คืออะไร?

ในส่วนนี้จะหมายถึง “เส้นทางการเดินทางของลูกค้า” เป็นกระบวนการที่ลูกค้าเริ่มต้นรู้จักธุรกิจของคุณ จนถึงการกลายเป็นลูกค้าประจำหรือผู้สนับสนุนแบรนด์ ในแต่ละธุรกิจอาจจะมี Customer Journey ที่ไม่เหมือนกันซึ่งจะแบ่งเป็น 2 แบบนั้นก็คือ Customer Journey แบบ Push และ Customer Journey แบบ Pull

แบบที่ 1 Customer Journey (Push)

การที่แบรนด์ผลักดันข้อมูลหรือสินค้าสู่กลุ่มลูกค้าโดยไม่รอให้ลูกค้าเริ่มสนใจก่อนโดยจะแบ่งเป็น 5 ขั้นตอนดังนี้

customer journey push

1. Awareness (การรับรู้)

ในขั้นตอนนี้แบรนด์จะส่งข้อมูลเพื่อให้กลุ่มเป้าหมายรู้จักแบรนด์หรือสินค้าแม้ว่าพวกเขาจะยังไม่มีความสนใจในสินค้าโดยตรงผ่านช่องทางออนไลน์ต่างๆไม่ว่าจะเป็น

  • การยิงโฆษณาผ่าน Facebook Ads, Instagram Ads, หรือ Google Display Ads ที่แสดงข้อความ เช่น
    “ลด 50% เฉพาะวันนี้! รีบคลิกด่วน!” พร้อมรูปภาพสินค้าที่ดึงดูดความสนใจ
  • การแจกใบปลิวโปรโมชันในงานแสดงสินค้า
  • การส่ง SMS หรือ Push Notification ไปยังกลุ่มลูกค้าเก่า

2. Consideration (การพิจารณา)

ในขั้นตอนนี้ ลูกค้าที่เห็นโฆษณาเริ่มสนใจและต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อเปรียบเทียบสินค้า ทางแบรนด์จะต้องเสริมข้อมูลเพื่อให้ลูกค้าได้พิจารณาและรู้จักแบรนด์ได้ง่ายขึ้น

  • การส่งอีเมลแนะนำสินค้าพร้อมลิงก์ไปยังหน้าเว็บไซต์ที่มีข้อมูลสินค้า
  • การโฆษณา Retargeting เช่น โชว์โฆษณาสินค้าที่ลูกค้าเคยดูซ้ำบน Facebook หรือ Google
  • การจัดแคมเปญ Live Streaming บน TikTok พร้อมตอบคำถามลูกค้าแบบเรียลไทม์
ซื้อสินค้าออนไลน์

3. Purchase (การซื้อ)

กระตุ้นการตัดสินใจในทันที โดยการสร้างแรงจูงใจ เช่น โปรโมชันพิเศษ หรือความเร่งด่วนยกตัวอย่างเช่น

  • การส่งคูปองส่วนลด 10% ไปยังกลุ่มลูกค้าที่เพิ่มสินค้าลงตะกร้า แต่ยังไม่ได้ชำระเงิน
  • การใช้ข้อความโฆษณาที่สร้าง FOMO (Fear of Missing Out) เช่น “สินค้าเหลือเพียง 5 ชิ้น! สั่งซื้อตอนนี้เลย”
  • การแสดงโฆษณา Flash Sale บนหน้าจอมือถือของกลุ่มเป้าหมาย

4. Retention (การรักษาลูกค้า)

ในขั้นตอนนี้มุ่งเน้นการทำให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ หรือสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวผ่านการสื่อสารอย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็น

  • การส่งอีเมลขอบคุณหลังการซื้อ พร้อมคูปองส่วนลดสำหรับการซื้อครั้งถัดไป
  • การส่งข้อความแจ้งเตือนเกี่ยวกับสินค้าที่ลูกค้าชื่นชอบกำลังมีโปรโมชัน
  • การมอบสิทธิพิเศษเฉพาะสมาชิก เช่น “ลูกค้า VIP รับฟรีค่าส่ง!”

5. Advocacy (การเป็นผู้สนับสนุนแบรนด์)

ขั้นตอนนี้มุ่งเน้นการกระตุ้นให้ลูกค้าช่วยโปรโมตแบรนด์ต่อ เช่น การรีวิว หรือแนะนำเพื่อน

  • การส่งข้อความเชิญชวนลูกค้าให้เขียนรีวิวสินค้า พร้อมมอบรางวัลหรือส่วนลดพิเศษ
  • การจัด Referral Program เช่น “แนะนำเพื่อน รับส่วนลด 20% ทั้งคุณและเพื่อน”
  • การส่งข้อความขอบคุณลูกค้าประจำ พร้อมแนะนำสินค้าใหม่
customer journey push

กลยุทธ์แบบ Push ใน Customer Journey มีบทบาทสำคัญในการผลักดันข้อมูลและสร้างแรงจูงใจให้ลูกค้าทำตามเส้นทางที่แบรนด์ต้องการ ตั้งแต่การรับรู้จนถึงการสนับสนุนแบรนด์ การเลือกใช้ Push Strategy ให้เหมาะสมกับแต่ละขั้นตอนจะช่วยเพิ่มโอกาสปิดการขายและสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนกับลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

แบบที่ 2 Customer Journey (Pull)

การดึงดูดลูกค้าให้เข้าหาแบรนด์เอง ผ่านการสร้างความน่าสนใจหรือมอบคุณค่า เช่น การทำ SEO, Content Marketing, และการสร้างชุมชนออนไลน์ ลูกค้าจะเริ่มค้นหาแบรนด์หรือสินค้าเองเมื่อพวกเขาต้องการ และแบรนด์มีบทบาทในการตอบสนองความต้องการอย่างเหมาะสม ซึ่งจะแบ่งเป็น 5 ขั้นตอนด้วยเช่นกันดังนี้

ลูกค้าสนใจแบรนด์เอง customer journey pull strategy


1. Awareness (การรับรู้)

ลูกค้าเริ่มค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับปัญหาหรือความต้องการของตนเอง และแบรนด์สามารถดึงดูดพวกเขาผ่านเนื้อหาที่ตอบโจทย์

  • การเขียนบทความ SEO เช่น “5 วิธีเลือกอุปกรณ์ออกกำลังกายสำหรับมือใหม่”
  • การสร้างคลิปวิดีโอแนะนำสินค้าบน YouTube
  • การใช้ Google Ads ด้วยคำค้นหาที่เกี่ยวข้อง

ตัวอย่าง : ลูกค้าที่สนใจอยากเปิดร้านอาหาร ค้นหา “วิธีเลือกอุปกรณ์ครัว” ใน Google และพบเว็บไซต์ของคุณที่นำเสนอข้อมูลพร้อมขายอุปกรณ์ครบชุด

2. Consideration (การพิจารณา)

ลูกค้าเริ่มเปรียบเทียบตัวเลือก เช่น สินค้า ราคา ความน่าเชื่อถือของแบรนด์ หรือประสบการณ์ที่ผู้อื่นมีต่อแบรนด์

  • การเขียนบทความรีวิวสินค้า เช่น “รีวิวเปรียบเทียบกล้องถ่ายภาพ 3 รุ่นยอดนิยม”
  • การสร้างหน้าเว็บไซต์ที่อธิบายคุณสมบัติสินค้าอย่างละเอียด
  • การแสดงรีวิวจากลูกค้าจริง

ตัวอย่าง : ลูกค้าที่สนใจกล้องถ่ายภาพ อ่านรีวิวในเว็บไซต์ของคุณและเห็นว่าร้านค้าของคุณมีสินค้ารุ่นที่ตอบโจทย์พร้อมราคาที่เหมาะสม

3. Purchase (การซื้อ)

ลูกค้าตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าหรือบริการจากแบรนด์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของเขา

  • การนำเสนอโปรโมชันพิเศษในหน้าเว็บไซต์ เช่น “จัดส่งฟรีเมื่อซื้อครบ 1,000 บาท”
  • การสร้างระบบชำระเงินออนไลน์ที่ง่ายและปลอดภัย
  • การใช้ Chatbot ช่วยตอบคำถามลูกค้าในระหว่างการตัดสินใจซื้อ

ตัวอย่าง : ลูกค้าเพิ่มสินค้าลงตะกร้าและสั่งซื้อหลังจากได้รับโค้ดส่วนลดพิเศษที่แสดงบนเว็บไซต์

การรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้า

4.Retention (การรักษาลูกค้า)

ในขั้นตอนนี้มุ่งเน้นการสร้างความสัมพันธ์ระยะยาว เช่น การส่งเนื้อหาที่มีคุณค่าหรือข้อมูลที่น่าสนใจเพื่อให้ลูกค้ากลับมา

  • การส่งอีเมล Newsletter ที่ให้ข้อมูลสินค้าใหม่หรือเคล็ดลับการใช้งาน
  • การทำ Blog Post เพื่อแชร์ไอเดียการใช้งานสินค้าที่หลากหลาย
  • การสร้างชุมชนออนไลน์ เช่น Facebook Group สำหรับลูกค้า

ตัวอย่าง : ลูกค้าที่ซื้ออุปกรณ์ครัวจากร้านคุณ ได้รับอีเมลที่แนะนำสูตรอาหารใหม่ๆ พร้อมโปรโมชั่นพิเศษ และตัดสินใจกลับมาซื้ออีก

5. Advocacy (การสนับสนุนแบรนด์)

ลูกค้ากลายเป็นผู้สนับสนุนแบรนด์ โดยแชร์ประสบการณ์ดีๆ หรือแนะนำแบรนด์ให้คนอื่น

  • การสร้าง Referral Program เช่น “แนะนำเพื่อน รับส่วนลด 20%”
  • การกระตุ้นให้ลูกค้าเขียนรีวิวสินค้าในเว็บไซต์หรือ Social Media
  • การสร้างพื้นที่สำหรับแชร์ไอเดียหรือผลงานของลูกค้า เช่น แกลเลอรีในเว็บไซต์

ตัวอย่าง : ลูกค้าถ่ายรูปอุปกรณ์ครัวที่ซื้อมาพร้อมสูตรอาหาร และโพสต์ลง Instagram พร้อมแท็กแบรนด์ของคุณ

ลูกค้าประทับใจ

ดังนั้นกลยุทธ์แบบ Pull เน้นการให้ลูกค้าเข้าหาแบรนด์ด้วยตัวเอง ดังนั้นการสร้างเนื้อหาและประสบการณ์ที่ตอบโจทย์จะช่วยเสริมให้ Journey ของลูกค้าเป็นไปอย่างราบรื่น

ตารางเปรียบเทียบ Customer Journey แบบ Push และ Pull

customer journey

อย่างไรก็ตามการเลือกใช้กลยุทธ์ Customer Journey แบบ Push และ Pull ขึ้นอยู่กับเป้าหมายของธุรกิจและพฤติกรรมของลูกค้า หากต้องการกระตุ้นการซื้อในทันที ควรใช้ Push เช่น การโฆษณาและโปรโมชันเชิงรุก แต่หากต้องการสร้างความไว้วางใจและดึงดูดลูกค้าในระยะยาว ควรใช้ Pull เช่น การทำ SEO หรือ Content Marketing การผสมผสานทั้งสองกลยุทธ์อย่างเหมาะสมจะช่วยสร้างประสบการณ์ที่ดีและเพิ่มโอกาสปิดการขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ.

คลังสินค้าออนไลน์ MyCloud Fulfillment  ขายออนไลน์

หากคุณต้องการให้ Customer Journey ของธุรกิจออนไลน์เป็นไปอย่างราบรื่น MyCloud Fulfillment พร้อมช่วยให้ธุรกิจของคุณเติบโตแบบไม่มีสะดุด ด้วยบริการคลังสินค้าออนไลน์ครบวงจรที่ช่วยจัดการระบบหลังบ้านได้อย่างมืออาชีพ ไม่ว่าจะเป็นการอัปเดตสต็อกแบบเรียลไทม์และดึงออเดอร์ทุก 5 นาที รองรับการขายได้ลื่นไหล พร้อมคลังสินค้าขนาดใหญ่กว่า 12,000 ตร.ม. เปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง จัดการคำสั่งซื้อและจัดส่งอย่างรวดเร็ว สร้างความประทับใจและกระตุ้นการกลับมาซื้อซ้ำ ให้ MyCloud ช่วยเสริมเส้นทาง Customer Journey ของคุณให้มั่นคงและเติบโตอย่างยั่งยืน!

บทความที่เกี่ยวข้อง

อ่านเพิ่มเติม

เคล็ดลับสร้างแบรนด์ที่ดีให้ติดตลาด ต้องทำอย่างไรบ้าง

แบรนด์ที่แข็งแกร่งและเป็นที่จดจำถือเป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จทางธุรกิจที่ผู้ประกอบการไม่ควรมองข้าม เพราะนอกจากจะช่วยสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งแล้ว ยังเป็นการวางรากฐานที่มั่นคงให้กับธุรกิจในระยะยาว วันนี้ MyCloud จะพาคุณไปรู้จักว่า การสร้างแบรนด์ คืออะไร พร้อมขั้นตอนการทำแบรนด์อย่างมืออาชีพ ตั้งแต่การวางกลยุทธ์ไปจนถึงการสร้าง Brand Awareness เพื่อให้ธุรกิจของคุณประสบความสำเร็จและเติบโตอย่างยั่งยืน ในบทความนี้กัน  การสร้างแบรนด์ (Branding) คืออะไร  การสร้างแบรนด์เป็นมากกว่าแค่การออกแบบโลโก้สวย ๆ หรือคิดชื่อที่จำง่าย แต่เป็นกระบวนการสร้างตัวตน (Brand Personality) และภาพลักษณ์ (Brand Image) ที่ชัดเจนให้แก่ธุรกิจ ผ่านการผสมผสานทั้งศาสตร์และศิลป์ในการวางแผนกลยุทธ์ การพัฒนาอัตลักษณ์และการสื่อสารคุณค่าของแบรนด์ไปยังกลุ่มเป้าหมาย ทั้งนี้เพื่อสร้างความแตกต่างที่โดดเด่น และความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างแบรนด์กับลูกค้า อย่างไรก็ตามการทำแบรนด์ที่ดีจะช่วยให้ธุรกิจมีจุดยืน (Brand Position) ที่ชัดเจน สามารถสื่อสารคุณค่าและประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับได้อย่างตรงจุดอีกด้วย    องค์ประกอบของ Branding มีอะไรบ้าง การสร้างแบรนด์ให้ประสบความสำเร็จนั้นต้องอาศัยการผสมผสานองค์ประกอบหลายอย่างเข้าด้วยกันอย่างลงตัว ซึ่งแต่ละองค์ประกอบล้วนมีความสำคัญและส่งผลต่อภาพรวมของแบรนด์ทั้งสิ้น มาดูกันว่ามีอะไรบ้าง Name and Logo  การเลือกชื่อและออกแบบโลโก้ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการสร้างแบรนด์ ต้องคำนึงถึงความเรียบง่าย จดจำได้ง่าย และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่สามารถสื่อถึงคุณค่าและจุดยืนของแบรนด์ได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ ยังต้องคำนึงถึงความเหมาะสมในการนำไปใช้ในสื่อต่างๆ และความสามารถในการปรับใช้ได้หลากหลายรูปแบบโดยยังคงความโดดเด่นและเป็นที่จดจำ Brand Values and […]

5 ข้อดีของการเปิดหน้าร้าน – MyCloudFulfillment

ในยุคที่ใครๆ ก็ขายของออนไลน์ การมีหน้าร้าน ยังจำเป็นอยู่ไหม? ถ้าเปิดแล้วจะช่วยให้ขายดีขึ้นหรือเปล่า? คุณต้องตอบตัวเองให้ได้ก่อนว่า… ลูกค้าจะมาจากหน้าร้านมากน้อยแค่ไหน? แล้วแบรนด์คุณจำเป็นต้องมีหน้าร้านไหม? ถ้าจำเป็น… ก็เปิด ถ้ายังไม่จำเป็น… ก็อย่าเพิ่งเปิดครับ แต่ถ้าถามผมว่า มีหน้าร้านแล้วมันดีไหม? แน่นอนมันต้องมีทั้งข้อดีและข้อเสียอยู่แล้ว ถ้าตัดเรื่องค่าเช่าที่ หรือค่าจ้างพนักงานออกไป ก็มีข้อดีเยอะแยะเลยครับ เท่าที่ผมคิดออกมี 5 ข้อ ลองอ่านแล้วเอาไปตัดสินใจกันดูนะครับ 1.ลูกค้ากล้าซื้อ มีความน่าเชื่อถือมากขึ้น เรียกได้ว่าเป็นจุดแข็งของออฟไลน์ที่ร้านค้าออนไลน์ก็ยังทดแทนตรงนี้ไม่ได้การขายของแบบไม่เห็นหน้ากันมันจะมีความไม่สบายใจลูกค้าก็จะมีคำถามในใจว่า “จะโดนโกงไหมนะ” ฝั่งพ่อค้าแม่ค้าก็จะหงุดหงิดว่า “เมื่อไหร่จะโอน” แต่ถ้าเรามีหน้าร้าน ก็ตัดปัญหาตรงนี้ไปได้เลยครับลูกค้าจะรู้สึกว่า สามารถติดต่อเราได้ตลอดเวลาเราจะไม่หนีหายไป เพราะเราสามารถสร้างความน่าเชื่อถือได้ในระดับหนึ่งเลยทีเดียว ลูกค้าสามารถติดต่อเราได้ทุกที่ทุกเวลา  2.ได้ลองสินค้าจริง ตัดสินใจซื้อง่าย ผู้บริโภคยังมีความคิดที่ว่า ไม่เห็นไม่ซื้อถึงแม้จะเห็นรูปสินค้าออนไลน์อยู่ตรงหน้า แต่ก็ยังต้องการประสบการณ์ตรงกับตัวสินค้า เช่น สัมผัส มองเห็น ดมกลิ่น ได้ทดลองสินค้าจริงๆ ถ้าคุณขายของประเภทเสื้อผ้า หรือความสวยความงาม เช่น เครื่องสำอาง ครีมบำรุงผิว น้ำหอม ฯลฯ การเปิดหน้าร้านก็เป็นอีกช่องทางหนึ่งในการกระตุ้นให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อง่ายขึ้น เร็วขึ้นด้วยนะครับ คุณอาจจะโปรโมทจากช่องทางออนไลน์ของร้านคุณว่ามีโปรโมชั่นนี้ที่หน้าร้าน เพื่อดึงดูดให้คนมาที่ร้านก็ได้ก็เป็นการเชื่อมออฟไลน์กับออนไลน์เข้าไว้ด้วยกัน 3.รู้ความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า […]

Omni Channel คืออะไร ช่วยเพิ่มยอดขายให้ธุรกิจในยุค Disruption ?

ความพึงพอใจและประสบการณ์ที่ดีของลูกค้าถือเป็นเป้าหมายสำคัญของธุรกิจ ดังนั้นผู้ประกอบการจึงต้องงัดเอากลยุทธ์ต่าง ๆ มาเพื่อดึงดูดความสนใจของลูกค้า และหัวใจสำคัญที่อยู่ในทุกขั้นตอนของการขาย ตั้งแต่เริ่มต้นทำความรู้จักลูกค้า เพื่อให้ลูกค้ารับรู้เกี่ยวกับแบรนด์ ไปจนถึงการบริการหลังการขายนั่นก็คือ การติดต่อสื่อสาร ซึ่งในปัจจุบันผู้บริโภคคาดหวังการให้บริการแบบเรียลไทม์ ผ่านช่องทางที่หลากหลาย  ดังนั้นการติดต่อสื่อสารกับลูกค้าทั้งออนไลน์ และการขายหน้าร้าน หรือที่เรียกว่าออฟไลน์นั้น จึงมีความสำคัญไม่แพ้กัน นี่จึงทำให้เกิดการตลาดแบบผสมผสานที่เรียกว่า Omni Channel Marketing ที่เป็นการผสมผสานทั้งสองช่องทางในการสื่อสารกับลูกค้า เพื่อให้เกิดการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้แก่ลูกค้า และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังเป็นการบันทึกข้อมูลลูกค้าไว้ที่ระบบกลางเพื่อเพิ่มโอกาสทางการขายต่อไป  แล้ว Omni Channel คืออะไร? Omni มาจากรากศัพท์ลาตินว่า Omnibus ซึ่งหมายถึง For All หรือ ทั้งหมด ในแง่ของ E-commerce คำว่า “Omni Channel” คือช่องทางการสื่อสารและบริการลูกค้าที่หลากหลายและเชื่อมโยงกันให้เป็นหนึ่งเดียวทั้งแบบออฟไลน์และออนไลน์ ซึ่งช่วยในการเก็บรวบรวมข้อมูลของลูกค้าทั้งหมดเอาไว้ เพื่อทำให้การเข้าถึงข้อมูลลูกค้าเป็นไปได้ง่าย รวดเร็วและไร้รอยต่อ เรียกได้ว่าเป็นการรวมการตลาดจากทุกช่องทาง ช่วยดึงลูกค้าจากร้านค้าไปปิดการขายในช่องทางออนไลน์ หรือลูกค้าจากหน้าร้านให้ไปทำการซื้อ-ขายกันในช่องทางออนไลน์ได้เช่นกัน  ถือเป็นการหยิบยื่นประสบการณ์การซื้อสินค้าของลูกค้าได้เป็นอย่างดี เพิ่มความสะดวกให้สามารถเข้าถึงการซื้อขายได้อย่างครอบคลุม โดยในปัจจุบันช่องทางการสื่อสารออนไลน์ที่เป็นที่นิยม ได้แก่ Email Direct Marketing, Website, […]

เคล็ดลับสร้างแบรนด์ที่ดีให้ติดตลาด ต้องทำอย่างไรบ้าง

แบรนด์ที่แข็งแกร่งและเป็นที่จดจำถือเป็นหัวใจสำคัญของความสำเร็จทางธุรกิจที่ผู้ประกอบการไม่ควรมองข้าม เพราะนอกจากจะช่วยสร้างความแตกต่างจากคู่แข่งแล้ว ยังเป็นการวางรากฐานที่มั่นคงให้กับธุรกิจในระยะยาว วันนี้ MyCloud จะพาคุณไปรู้จักว่า การสร้างแบรนด์ คืออะไร พร้อมขั้นตอนการทำแบรนด์อย่างมืออาชีพ ตั้งแต่การวางกลยุทธ์ไปจนถึงการสร้าง Brand Awareness เพื่อให้ธุรกิจของคุณประสบความสำเร็จและเติบโตอย่างยั่งยืน ในบทความนี้กัน  การสร้างแบรนด์ (Branding) คืออะไร  การสร้างแบรนด์เป็นมากกว่าแค่การออกแบบโลโก้สวย ๆ หรือคิดชื่อที่จำง่าย แต่เป็นกระบวนการสร้างตัวตน (Brand Personality) และภาพลักษณ์ (Brand Image) ที่ชัดเจนให้แก่ธุรกิจ ผ่านการผสมผสานทั้งศาสตร์และศิลป์ในการวางแผนกลยุทธ์ การพัฒนาอัตลักษณ์และการสื่อสารคุณค่าของแบรนด์ไปยังกลุ่มเป้าหมาย ทั้งนี้เพื่อสร้างความแตกต่างที่โดดเด่น และความสัมพันธ์ที่ดีระหว่างแบรนด์กับลูกค้า อย่างไรก็ตามการทำแบรนด์ที่ดีจะช่วยให้ธุรกิจมีจุดยืน (Brand Position) ที่ชัดเจน สามารถสื่อสารคุณค่าและประโยชน์ที่ลูกค้าจะได้รับได้อย่างตรงจุดอีกด้วย    องค์ประกอบของ Branding มีอะไรบ้าง การสร้างแบรนด์ให้ประสบความสำเร็จนั้นต้องอาศัยการผสมผสานองค์ประกอบหลายอย่างเข้าด้วยกันอย่างลงตัว ซึ่งแต่ละองค์ประกอบล้วนมีความสำคัญและส่งผลต่อภาพรวมของแบรนด์ทั้งสิ้น มาดูกันว่ามีอะไรบ้าง Name and Logo  การเลือกชื่อและออกแบบโลโก้ถือเป็นจุดเริ่มต้นที่สำคัญในการสร้างแบรนด์ ต้องคำนึงถึงความเรียบง่าย จดจำได้ง่าย และมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่สามารถสื่อถึงคุณค่าและจุดยืนของแบรนด์ได้อย่างชัดเจน นอกจากนี้ ยังต้องคำนึงถึงความเหมาะสมในการนำไปใช้ในสื่อต่างๆ และความสามารถในการปรับใช้ได้หลากหลายรูปแบบโดยยังคงความโดดเด่นและเป็นที่จดจำ Brand Values and […]

5 ข้อดีของการเปิดหน้าร้าน – MyCloudFulfillment

ในยุคที่ใครๆ ก็ขายของออนไลน์ การมีหน้าร้าน ยังจำเป็นอยู่ไหม? ถ้าเปิดแล้วจะช่วยให้ขายดีขึ้นหรือเปล่า? คุณต้องตอบตัวเองให้ได้ก่อนว่า… ลูกค้าจะมาจากหน้าร้านมากน้อยแค่ไหน? แล้วแบรนด์คุณจำเป็นต้องมีหน้าร้านไหม? ถ้าจำเป็น… ก็เปิด ถ้ายังไม่จำเป็น… ก็อย่าเพิ่งเปิดครับ แต่ถ้าถามผมว่า มีหน้าร้านแล้วมันดีไหม? แน่นอนมันต้องมีทั้งข้อดีและข้อเสียอยู่แล้ว ถ้าตัดเรื่องค่าเช่าที่ หรือค่าจ้างพนักงานออกไป ก็มีข้อดีเยอะแยะเลยครับ เท่าที่ผมคิดออกมี 5 ข้อ ลองอ่านแล้วเอาไปตัดสินใจกันดูนะครับ 1.ลูกค้ากล้าซื้อ มีความน่าเชื่อถือมากขึ้น เรียกได้ว่าเป็นจุดแข็งของออฟไลน์ที่ร้านค้าออนไลน์ก็ยังทดแทนตรงนี้ไม่ได้การขายของแบบไม่เห็นหน้ากันมันจะมีความไม่สบายใจลูกค้าก็จะมีคำถามในใจว่า “จะโดนโกงไหมนะ” ฝั่งพ่อค้าแม่ค้าก็จะหงุดหงิดว่า “เมื่อไหร่จะโอน” แต่ถ้าเรามีหน้าร้าน ก็ตัดปัญหาตรงนี้ไปได้เลยครับลูกค้าจะรู้สึกว่า สามารถติดต่อเราได้ตลอดเวลาเราจะไม่หนีหายไป เพราะเราสามารถสร้างความน่าเชื่อถือได้ในระดับหนึ่งเลยทีเดียว ลูกค้าสามารถติดต่อเราได้ทุกที่ทุกเวลา  2.ได้ลองสินค้าจริง ตัดสินใจซื้อง่าย ผู้บริโภคยังมีความคิดที่ว่า ไม่เห็นไม่ซื้อถึงแม้จะเห็นรูปสินค้าออนไลน์อยู่ตรงหน้า แต่ก็ยังต้องการประสบการณ์ตรงกับตัวสินค้า เช่น สัมผัส มองเห็น ดมกลิ่น ได้ทดลองสินค้าจริงๆ ถ้าคุณขายของประเภทเสื้อผ้า หรือความสวยความงาม เช่น เครื่องสำอาง ครีมบำรุงผิว น้ำหอม ฯลฯ การเปิดหน้าร้านก็เป็นอีกช่องทางหนึ่งในการกระตุ้นให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อง่ายขึ้น เร็วขึ้นด้วยนะครับ คุณอาจจะโปรโมทจากช่องทางออนไลน์ของร้านคุณว่ามีโปรโมชั่นนี้ที่หน้าร้าน เพื่อดึงดูดให้คนมาที่ร้านก็ได้ก็เป็นการเชื่อมออฟไลน์กับออนไลน์เข้าไว้ด้วยกัน 3.รู้ความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า […]

Omni Channel คืออะไร ช่วยเพิ่มยอดขายให้ธุรกิจในยุค Disruption ?

ความพึงพอใจและประสบการณ์ที่ดีของลูกค้าถือเป็นเป้าหมายสำคัญของธุรกิจ ดังนั้นผู้ประกอบการจึงต้องงัดเอากลยุทธ์ต่าง ๆ มาเพื่อดึงดูดความสนใจของลูกค้า และหัวใจสำคัญที่อยู่ในทุกขั้นตอนของการขาย ตั้งแต่เริ่มต้นทำความรู้จักลูกค้า เพื่อให้ลูกค้ารับรู้เกี่ยวกับแบรนด์ ไปจนถึงการบริการหลังการขายนั่นก็คือ การติดต่อสื่อสาร ซึ่งในปัจจุบันผู้บริโภคคาดหวังการให้บริการแบบเรียลไทม์ ผ่านช่องทางที่หลากหลาย  ดังนั้นการติดต่อสื่อสารกับลูกค้าทั้งออนไลน์ และการขายหน้าร้าน หรือที่เรียกว่าออฟไลน์นั้น จึงมีความสำคัญไม่แพ้กัน นี่จึงทำให้เกิดการตลาดแบบผสมผสานที่เรียกว่า Omni Channel Marketing ที่เป็นการผสมผสานทั้งสองช่องทางในการสื่อสารกับลูกค้า เพื่อให้เกิดการสร้างประสบการณ์ที่ดีให้แก่ลูกค้า และเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้อย่างมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น อีกทั้งยังเป็นการบันทึกข้อมูลลูกค้าไว้ที่ระบบกลางเพื่อเพิ่มโอกาสทางการขายต่อไป  แล้ว Omni Channel คืออะไร? Omni มาจากรากศัพท์ลาตินว่า Omnibus ซึ่งหมายถึง For All หรือ ทั้งหมด ในแง่ของ E-commerce คำว่า “Omni Channel” คือช่องทางการสื่อสารและบริการลูกค้าที่หลากหลายและเชื่อมโยงกันให้เป็นหนึ่งเดียวทั้งแบบออฟไลน์และออนไลน์ ซึ่งช่วยในการเก็บรวบรวมข้อมูลของลูกค้าทั้งหมดเอาไว้ เพื่อทำให้การเข้าถึงข้อมูลลูกค้าเป็นไปได้ง่าย รวดเร็วและไร้รอยต่อ เรียกได้ว่าเป็นการรวมการตลาดจากทุกช่องทาง ช่วยดึงลูกค้าจากร้านค้าไปปิดการขายในช่องทางออนไลน์ หรือลูกค้าจากหน้าร้านให้ไปทำการซื้อ-ขายกันในช่องทางออนไลน์ได้เช่นกัน  ถือเป็นการหยิบยื่นประสบการณ์การซื้อสินค้าของลูกค้าได้เป็นอย่างดี เพิ่มความสะดวกให้สามารถเข้าถึงการซื้อขายได้อย่างครอบคลุม โดยในปัจจุบันช่องทางการสื่อสารออนไลน์ที่เป็นที่นิยม ได้แก่ Email Direct Marketing, Website, […]