Knowledge Center

Customer Journey คืออะไร ยิ่งอยากขายยิ่งต้องเข้าใจลูกค้าให้มากขึ้น

Customer Journey คืออะไร?

“Customer Journey คืออะไร”ในยุคที่ธุรกิจออนไลน์เติบโตอย่างรวดเร็ว การเข้าใจว่าลูกค้าต้องการอะไรเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จของการขาย การเดินทางของลูกค้า (Customer Journey) ไม่ใช่แค่เส้นทางที่ลูกค้าซื้อสินค้า แต่เป็นกระบวนการที่ช่วยให้ธุรกิจเข้าใจความต้องการและพฤติกรรมของลูกค้าในแต่ละขั้นตอน ตั้งแต่การรับรู้สินค้าไปจนถึงการตัดสินใจซื้อ บทความนี้เราจะพาคุณมาทำความเข้าใจลูกค้าให้มากยิ่งขึ้นเพราะไม่เพียงแต่จะช่วยให้คุณเข้าใจพฤติกรรมลูกค้าแบบเจาะลึกแล้วมันยังส่งผลกับการเติบโตธุรกิจของคุณได้ในระยะยาวอีกด้วย

Customer Journey คืออะไร?

ในส่วนนี้จะหมายถึง “เส้นทางการเดินทางของลูกค้า” เป็นกระบวนการที่ลูกค้าเริ่มต้นรู้จักธุรกิจของคุณ จนถึงการกลายเป็นลูกค้าประจำหรือผู้สนับสนุนแบรนด์ ในแต่ละธุรกิจอาจจะมี Customer Journey ที่ไม่เหมือนกันซึ่งจะแบ่งเป็น 2 แบบนั้นก็คือ Customer Journey แบบ Push และ Customer Journey แบบ Pull

แบบที่ 1 Customer Journey (Push)

การที่แบรนด์ผลักดันข้อมูลหรือสินค้าสู่กลุ่มลูกค้าโดยไม่รอให้ลูกค้าเริ่มสนใจก่อนโดยจะแบ่งเป็น 5 ขั้นตอนดังนี้

customer journey push

1. Awareness (การรับรู้)

ในขั้นตอนนี้แบรนด์จะส่งข้อมูลเพื่อให้กลุ่มเป้าหมายรู้จักแบรนด์หรือสินค้าแม้ว่าพวกเขาจะยังไม่มีความสนใจในสินค้าโดยตรงผ่านช่องทางออนไลน์ต่างๆไม่ว่าจะเป็น

  • การยิงโฆษณาผ่าน Facebook Ads, Instagram Ads, หรือ Google Display Ads ที่แสดงข้อความ เช่น
    “ลด 50% เฉพาะวันนี้! รีบคลิกด่วน!” พร้อมรูปภาพสินค้าที่ดึงดูดความสนใจ
  • การแจกใบปลิวโปรโมชันในงานแสดงสินค้า
  • การส่ง SMS หรือ Push Notification ไปยังกลุ่มลูกค้าเก่า

2. Consideration (การพิจารณา)

ในขั้นตอนนี้ ลูกค้าที่เห็นโฆษณาเริ่มสนใจและต้องการข้อมูลเพิ่มเติมเพื่อเปรียบเทียบสินค้า ทางแบรนด์จะต้องเสริมข้อมูลเพื่อให้ลูกค้าได้พิจารณาและรู้จักแบรนด์ได้ง่ายขึ้น

  • การส่งอีเมลแนะนำสินค้าพร้อมลิงก์ไปยังหน้าเว็บไซต์ที่มีข้อมูลสินค้า
  • การโฆษณา Retargeting เช่น โชว์โฆษณาสินค้าที่ลูกค้าเคยดูซ้ำบน Facebook หรือ Google
  • การจัดแคมเปญ Live Streaming บน TikTok พร้อมตอบคำถามลูกค้าแบบเรียลไทม์
ซื้อสินค้าออนไลน์

3. Purchase (การซื้อ)

กระตุ้นการตัดสินใจในทันที โดยการสร้างแรงจูงใจ เช่น โปรโมชันพิเศษ หรือความเร่งด่วนยกตัวอย่างเช่น

  • การส่งคูปองส่วนลด 10% ไปยังกลุ่มลูกค้าที่เพิ่มสินค้าลงตะกร้า แต่ยังไม่ได้ชำระเงิน
  • การใช้ข้อความโฆษณาที่สร้าง FOMO (Fear of Missing Out) เช่น “สินค้าเหลือเพียง 5 ชิ้น! สั่งซื้อตอนนี้เลย”
  • การแสดงโฆษณา Flash Sale บนหน้าจอมือถือของกลุ่มเป้าหมาย

4. Retention (การรักษาลูกค้า)

ในขั้นตอนนี้มุ่งเน้นการทำให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ หรือสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวผ่านการสื่อสารอย่างต่อเนื่องไม่ว่าจะเป็น

  • การส่งอีเมลขอบคุณหลังการซื้อ พร้อมคูปองส่วนลดสำหรับการซื้อครั้งถัดไป
  • การส่งข้อความแจ้งเตือนเกี่ยวกับสินค้าที่ลูกค้าชื่นชอบกำลังมีโปรโมชัน
  • การมอบสิทธิพิเศษเฉพาะสมาชิก เช่น “ลูกค้า VIP รับฟรีค่าส่ง!”

5. Advocacy (การเป็นผู้สนับสนุนแบรนด์)

ขั้นตอนนี้มุ่งเน้นการกระตุ้นให้ลูกค้าช่วยโปรโมตแบรนด์ต่อ เช่น การรีวิว หรือแนะนำเพื่อน

  • การส่งข้อความเชิญชวนลูกค้าให้เขียนรีวิวสินค้า พร้อมมอบรางวัลหรือส่วนลดพิเศษ
  • การจัด Referral Program เช่น “แนะนำเพื่อน รับส่วนลด 20% ทั้งคุณและเพื่อน”
  • การส่งข้อความขอบคุณลูกค้าประจำ พร้อมแนะนำสินค้าใหม่
customer journey push

กลยุทธ์แบบ Push ใน Customer Journey มีบทบาทสำคัญในการผลักดันข้อมูลและสร้างแรงจูงใจให้ลูกค้าทำตามเส้นทางที่แบรนด์ต้องการ ตั้งแต่การรับรู้จนถึงการสนับสนุนแบรนด์ การเลือกใช้ Push Strategy ให้เหมาะสมกับแต่ละขั้นตอนจะช่วยเพิ่มโอกาสปิดการขายและสร้างความสัมพันธ์ที่ยั่งยืนกับลูกค้าได้อย่างมีประสิทธิภาพ

แบบที่ 2 Customer Journey (Pull)

การดึงดูดลูกค้าให้เข้าหาแบรนด์เอง ผ่านการสร้างความน่าสนใจหรือมอบคุณค่า เช่น การทำ SEO, Content Marketing, และการสร้างชุมชนออนไลน์ ลูกค้าจะเริ่มค้นหาแบรนด์หรือสินค้าเองเมื่อพวกเขาต้องการ และแบรนด์มีบทบาทในการตอบสนองความต้องการอย่างเหมาะสม ซึ่งจะแบ่งเป็น 5 ขั้นตอนด้วยเช่นกันดังนี้

ลูกค้าสนใจแบรนด์เอง customer journey pull strategy


1. Awareness (การรับรู้)

ลูกค้าเริ่มค้นหาข้อมูลเกี่ยวกับปัญหาหรือความต้องการของตนเอง และแบรนด์สามารถดึงดูดพวกเขาผ่านเนื้อหาที่ตอบโจทย์

  • การเขียนบทความ SEO เช่น “5 วิธีเลือกอุปกรณ์ออกกำลังกายสำหรับมือใหม่”
  • การสร้างคลิปวิดีโอแนะนำสินค้าบน YouTube
  • การใช้ Google Ads ด้วยคำค้นหาที่เกี่ยวข้อง

ตัวอย่าง : ลูกค้าที่สนใจอยากเปิดร้านอาหาร ค้นหา “วิธีเลือกอุปกรณ์ครัว” ใน Google และพบเว็บไซต์ของคุณที่นำเสนอข้อมูลพร้อมขายอุปกรณ์ครบชุด

2. Consideration (การพิจารณา)

ลูกค้าเริ่มเปรียบเทียบตัวเลือก เช่น สินค้า ราคา ความน่าเชื่อถือของแบรนด์ หรือประสบการณ์ที่ผู้อื่นมีต่อแบรนด์

  • การเขียนบทความรีวิวสินค้า เช่น “รีวิวเปรียบเทียบกล้องถ่ายภาพ 3 รุ่นยอดนิยม”
  • การสร้างหน้าเว็บไซต์ที่อธิบายคุณสมบัติสินค้าอย่างละเอียด
  • การแสดงรีวิวจากลูกค้าจริง

ตัวอย่าง : ลูกค้าที่สนใจกล้องถ่ายภาพ อ่านรีวิวในเว็บไซต์ของคุณและเห็นว่าร้านค้าของคุณมีสินค้ารุ่นที่ตอบโจทย์พร้อมราคาที่เหมาะสม

3. Purchase (การซื้อ)

ลูกค้าตัดสินใจเลือกซื้อสินค้าหรือบริการจากแบรนด์ที่ตอบโจทย์ความต้องการของเขา

  • การนำเสนอโปรโมชันพิเศษในหน้าเว็บไซต์ เช่น “จัดส่งฟรีเมื่อซื้อครบ 1,000 บาท”
  • การสร้างระบบชำระเงินออนไลน์ที่ง่ายและปลอดภัย
  • การใช้ Chatbot ช่วยตอบคำถามลูกค้าในระหว่างการตัดสินใจซื้อ

ตัวอย่าง : ลูกค้าเพิ่มสินค้าลงตะกร้าและสั่งซื้อหลังจากได้รับโค้ดส่วนลดพิเศษที่แสดงบนเว็บไซต์

การรักษาความสัมพันธ์กับลูกค้า

4.Retention (การรักษาลูกค้า)

ในขั้นตอนนี้มุ่งเน้นการสร้างความสัมพันธ์ระยะยาว เช่น การส่งเนื้อหาที่มีคุณค่าหรือข้อมูลที่น่าสนใจเพื่อให้ลูกค้ากลับมา

  • การส่งอีเมล Newsletter ที่ให้ข้อมูลสินค้าใหม่หรือเคล็ดลับการใช้งาน
  • การทำ Blog Post เพื่อแชร์ไอเดียการใช้งานสินค้าที่หลากหลาย
  • การสร้างชุมชนออนไลน์ เช่น Facebook Group สำหรับลูกค้า

ตัวอย่าง : ลูกค้าที่ซื้ออุปกรณ์ครัวจากร้านคุณ ได้รับอีเมลที่แนะนำสูตรอาหารใหม่ๆ พร้อมโปรโมชั่นพิเศษ และตัดสินใจกลับมาซื้ออีก

5. Advocacy (การสนับสนุนแบรนด์)

ลูกค้ากลายเป็นผู้สนับสนุนแบรนด์ โดยแชร์ประสบการณ์ดีๆ หรือแนะนำแบรนด์ให้คนอื่น

  • การสร้าง Referral Program เช่น “แนะนำเพื่อน รับส่วนลด 20%”
  • การกระตุ้นให้ลูกค้าเขียนรีวิวสินค้าในเว็บไซต์หรือ Social Media
  • การสร้างพื้นที่สำหรับแชร์ไอเดียหรือผลงานของลูกค้า เช่น แกลเลอรีในเว็บไซต์

ตัวอย่าง : ลูกค้าถ่ายรูปอุปกรณ์ครัวที่ซื้อมาพร้อมสูตรอาหาร และโพสต์ลง Instagram พร้อมแท็กแบรนด์ของคุณ

ลูกค้าประทับใจ

ดังนั้นกลยุทธ์แบบ Pull เน้นการให้ลูกค้าเข้าหาแบรนด์ด้วยตัวเอง ดังนั้นการสร้างเนื้อหาและประสบการณ์ที่ตอบโจทย์จะช่วยเสริมให้ Journey ของลูกค้าเป็นไปอย่างราบรื่น

ตารางเปรียบเทียบ Customer Journey แบบ Push และ Pull

customer journey

อย่างไรก็ตามการเลือกใช้กลยุทธ์ Customer Journey แบบ Push และ Pull ขึ้นอยู่กับเป้าหมายของธุรกิจและพฤติกรรมของลูกค้า หากต้องการกระตุ้นการซื้อในทันที ควรใช้ Push เช่น การโฆษณาและโปรโมชันเชิงรุก แต่หากต้องการสร้างความไว้วางใจและดึงดูดลูกค้าในระยะยาว ควรใช้ Pull เช่น การทำ SEO หรือ Content Marketing การผสมผสานทั้งสองกลยุทธ์อย่างเหมาะสมจะช่วยสร้างประสบการณ์ที่ดีและเพิ่มโอกาสปิดการขายได้อย่างมีประสิทธิภาพ.

คลังสินค้าออนไลน์ MyCloud Fulfillment  ขายออนไลน์

หากคุณต้องการให้ Customer Journey ของธุรกิจออนไลน์เป็นไปอย่างราบรื่น MyCloud Fulfillment พร้อมช่วยให้ธุรกิจของคุณเติบโตแบบไม่มีสะดุด ด้วยบริการคลังสินค้าออนไลน์ครบวงจรที่ช่วยจัดการระบบหลังบ้านได้อย่างมืออาชีพ ไม่ว่าจะเป็นการอัปเดตสต็อกแบบเรียลไทม์และดึงออเดอร์ทุก 5 นาที รองรับการขายได้ลื่นไหล พร้อมคลังสินค้าขนาดใหญ่กว่า 12,000 ตร.ม. เปิดให้บริการ 24 ชั่วโมง จัดการคำสั่งซื้อและจัดส่งอย่างรวดเร็ว สร้างความประทับใจและกระตุ้นการกลับมาซื้อซ้ำ ให้ MyCloud ช่วยเสริมเส้นทาง Customer Journey ของคุณให้มั่นคงและเติบโตอย่างยั่งยืน!

บทความที่เกี่ยวข้อง

อ่านเพิ่มเติม

ลูกค้าเก่า เอาใจยังไง? เทคนิคง่ายๆให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ

ลูกค้าใหม่อาจเพิ่มยอดได้ไว แต่ถ้าหวังให้ธุรกิจไปได้ไกล ต้องอาศัย “ลูกค้าเก่า” ที่พร้อมกลับมาซื้อซ้ำอย่างต่อเนื่อง แต่ปัญหาคือ…ลูกค้าเก่าไม่ได้กลับมาเองเสมอไป ถ้าเราไม่ใส่ใจ ไม่กระตุ้น หรือไม่มีอะไรใหม่ๆ ให้เขารู้สึกว่า “คุณยังต้องการฉันอยู่” บทความนี้จะพาคุณรู้วิธีเอาใจลูกค้าเก่าแบบไม่ต้องขายตรง แต่อยู่ตรงใจ พร้อมเทคนิคทำให้ ลูกค้าประจำ เพิ่มขึ้น และยอดขายไม่หล่นหายหลังจากปิดดีลแรก ทำไม ลูกค้าเก่า สำคัญกว่าที่คิด? การได้ลูกค้าใหม่ 1 คนมีต้นทุนสูงกว่าการรักษา ลูกค้าเก่า ถึง 5–7 เท่า ทั้งจากค่าโฆษณา แรงสร้างความน่าเชื่อถือ และเวลาที่ใช้ในการปิดการขาย ในขณะที่ลูกค้าเก่ารู้จักแบรนด์อยู่แล้ว รู้ว่าคุณขายอะไร มีประสบการณ์การใช้งานจริง และสามารถตัดสินใจซื้อซ้ำได้เร็วขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น ลูกค้าเก่าที่พอใจยังเป็นกระบอกเสียงให้แบรนด์ ช่วยบอกต่อหรือแนะนำให้เพื่อนซื้ออีกทางหนึ่งโดยที่คุณไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเลย ลูกค้าเก่าอยากได้อะไร? ลูกค้าเก่ามักมองหาสิ่งพิเศษบางอย่างที่จะทำให้พวกเขารู้สึกว่า “ฉันสำคัญ” ไม่ว่าจะเป็น โปรซื้อซ้ำ ที่เฉพาะเจาะจงกับประวัติการสั่งซื้อ, สิทธิพิเศษจากการเป็นสมาชิก หรือแม้แต่ของแถมเล็กๆ ที่ทำให้รู้ว่าคุณใส่ใจ หากคุณเป็นคนที่ขายของออนไลน์ทาง Marketplace อย่าง Shopee, Lazada หรือ TikTok อยู่แล้วก็อาจจะรู้ดีว่าแพลตฟอร์มเหล่านี้จะมีฟีเจอร์การตลาดที่สามารถทำระบบสมาชิกได้แต่ข้อจำกัดที่เป็นผลเสียต่อแบรนด์เองนั้นก็คือ แพลตฟอร์มจะไม่อนุญาตให้นำส่งข้อมูลลูกค้าเหล่านี้ไม่ว่าจะเป็น […]

ขายของออนไลน์ เสียภาษีอย่างไร? พร้อม 4 วิธีลดต้นทุน ประหยัดภาษีก่อนสิ้นปีนี้!

ขายของออนไลน์ ไม่มีหน้าร้านต้องเสียภาษีหรือไม่ ? ในปัจจุบันมีหลาย ๆ คนเริ่มเป็นพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์กันมากขึ้น โดยช่องทางยอดฮิตก็หนีไม่พ้น TikTok Shop, Lazada และ Shopee แน่นอนค่ะ พอเริ่มมีรายได้มากขึ้น สงสัยกันไหมคะว่าขายบน Marketplace แบบนี้ต้องเสียภาษีหรือไม่ เสียอย่างไร ? MyCloud รวบรวมมาให้ไว้หมดแล้ว พร้อมวิธีการยื่นภาษีไปอ่านกันได้เลยค่ะ   ไม่ว่าขายออนไลน์ช่องทางใดก็แล้วแต่ ต้องเสียภาษีนะคะ ถึงแม้ว่ายอดของคุณจะไม่ถึง 1,800,000 ต่อปี แต่ยื่นไว้ก่อนก็ไม่เสียหาย ไม่อย่างนั้นอาจโดนสุ่มเรียกย้อนหลังได้ค่ะ แล้วสรรพากรรู้ข้อมูลของเราได้อย่างไร? แน่นอนค่ะว่าผู้ให้บริการทางการเงินของเรา เป็นผู้ส่งให้กับทางสรรพากรโดยจะมีหลักเกณฑ์ คือมีเงินเข้าในบัญชีของเราเกิด 3,000 ครั้งต่อปี/ผู้ให้บริการ โดยผู้ให้บริการทางการเงินไม่ใช่ธนาคารต่าง ๆ แต่นับรวมถึง Lazada Shopee และกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Wallet) ด้วยเช่นกัน หากไม่ถึง 3,000 ครั้งแต่มากกว่า 400 ครั้งต่อปี และมียอดเงินเข้าดังกล่าวรวมแล้วเกิน 2 ล้านบาทขึ้นไปก็โดนส่งข้อมูลให้สรรพากรนะคะ เพราะฉะนั้นยื่นภาษี และเก็บหลักฐานไว้ให้ครบถ้วนสบายใจที่สุดค่ะ   ขายของออนไลน์ ต้องเสียภาษีแบบไหน?  […]

รู้จัก Chat Commerce คืออะไร ในยุคธุรกิจออนไลน์แบบนี้ การขายผ่านแชทดีอย่างไร

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าปัจจุบันแชทกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันไปแล้ว ทำให้หลากหลายแบรนด์ หรือธุรกิจจำนวนมากได้ปรับตัวและนำเอาช่องทางการสื่อสารนี้มาต่อยอดเป็นช่องทางการขาย จึงเกิดเป็นรูปแบบการค้าออนไลน์รูปแบบใหม่ที่เรียกว่า Chat Commerce ซึ่งกำลังได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศไทย เพราะไม่เพียงแต่สร้างความสะดวกสบายให้กับผู้ซื้อและผู้ขายเท่านั้น แต่ยังช่วยสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างแบรนด์กับลูกค้าอีกด้วย ดังนั้นในวันนี้ MyCloud Fulfillment จะพามาทำความรู้จักกับ Chat Commerce คืออะไร และมีข้อดีอย่างไรบ้างให้มากขึ้นในบทความนี้กัน   Chat Commerce คืออะไร  Chat Commerce คือรูปแบบการซื้อ-ขายสินค้าและบริการผ่านแพลตฟอร์มแชทต่าง ๆ ที่เน้นการสื่อสารแบบสองทางระหว่างผู้ขายและผู้ซื้อ โดยเป็นการผสมผสานระหว่างความสะดวกสบายของ E-Commerce เข้ากับความต้องการความเป็นส่วนตัวในการสนทนา ทำให้การซื้อขายมีความเป็นกันเองมากขึ้น ผู้ขายสามารถให้ข้อมูล ตอบคำถามและสร้างความประทับใจผ่านการพูดคุยได้โดยตรงผ่านกล่องข้อความ ซึ่งจะแตกต่างจากการซื้อ-ขายแบบเดิมที่จำเป็นต้องเห็นสินค้าจริงก่อน แล้วถึงจะตัดสินใจ ทำให้การสร้างความไว้วางใจผ่านการสนทนาในช่องแชท จึงเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้ลูกค้ากล้าตัดสินใจซื้อแม้จะยังไม่ได้เห็นสินค้าจริงนั่นเอง   หลักการทำงานของ Chat Commerce  หลักการทำงานของ Chat Commerce คือระบบจะใช้การทำงานแบบ Asynchronous ซึ่งสามารถดำเนินการหลายคำสั่งพร้อมกัน ทำให้การตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการสอบถามข้อมูลสินค้า การสั่งซื้อหรือการชำระเงิน ทุกขั้นตอนสามารถดำเนินการผ่านแชทได้อย่างครบวงจร พร้อมทั้งมีระบบรักษาความปลอดภัยที่น่าเชื่อถือ ทำให้การซื้อขายผ่านแชทเป็นที่นิยมมากขึ้นในปัจจุบัน  แพลตฟอร์ม Chat Commerce ที่ได้รับความนิยมในไทย ปัจจุบันมีแพลตฟอร์ม […]

ลูกค้าเก่า เอาใจยังไง? เทคนิคง่ายๆให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ

ลูกค้าใหม่อาจเพิ่มยอดได้ไว แต่ถ้าหวังให้ธุรกิจไปได้ไกล ต้องอาศัย “ลูกค้าเก่า” ที่พร้อมกลับมาซื้อซ้ำอย่างต่อเนื่อง แต่ปัญหาคือ…ลูกค้าเก่าไม่ได้กลับมาเองเสมอไป ถ้าเราไม่ใส่ใจ ไม่กระตุ้น หรือไม่มีอะไรใหม่ๆ ให้เขารู้สึกว่า “คุณยังต้องการฉันอยู่” บทความนี้จะพาคุณรู้วิธีเอาใจลูกค้าเก่าแบบไม่ต้องขายตรง แต่อยู่ตรงใจ พร้อมเทคนิคทำให้ ลูกค้าประจำ เพิ่มขึ้น และยอดขายไม่หล่นหายหลังจากปิดดีลแรก ทำไม ลูกค้าเก่า สำคัญกว่าที่คิด? การได้ลูกค้าใหม่ 1 คนมีต้นทุนสูงกว่าการรักษา ลูกค้าเก่า ถึง 5–7 เท่า ทั้งจากค่าโฆษณา แรงสร้างความน่าเชื่อถือ และเวลาที่ใช้ในการปิดการขาย ในขณะที่ลูกค้าเก่ารู้จักแบรนด์อยู่แล้ว รู้ว่าคุณขายอะไร มีประสบการณ์การใช้งานจริง และสามารถตัดสินใจซื้อซ้ำได้เร็วขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น ลูกค้าเก่าที่พอใจยังเป็นกระบอกเสียงให้แบรนด์ ช่วยบอกต่อหรือแนะนำให้เพื่อนซื้ออีกทางหนึ่งโดยที่คุณไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเลย ลูกค้าเก่าอยากได้อะไร? ลูกค้าเก่ามักมองหาสิ่งพิเศษบางอย่างที่จะทำให้พวกเขารู้สึกว่า “ฉันสำคัญ” ไม่ว่าจะเป็น โปรซื้อซ้ำ ที่เฉพาะเจาะจงกับประวัติการสั่งซื้อ, สิทธิพิเศษจากการเป็นสมาชิก หรือแม้แต่ของแถมเล็กๆ ที่ทำให้รู้ว่าคุณใส่ใจ หากคุณเป็นคนที่ขายของออนไลน์ทาง Marketplace อย่าง Shopee, Lazada หรือ TikTok อยู่แล้วก็อาจจะรู้ดีว่าแพลตฟอร์มเหล่านี้จะมีฟีเจอร์การตลาดที่สามารถทำระบบสมาชิกได้แต่ข้อจำกัดที่เป็นผลเสียต่อแบรนด์เองนั้นก็คือ แพลตฟอร์มจะไม่อนุญาตให้นำส่งข้อมูลลูกค้าเหล่านี้ไม่ว่าจะเป็น […]

ขายของออนไลน์ เสียภาษีอย่างไร? พร้อม 4 วิธีลดต้นทุน ประหยัดภาษีก่อนสิ้นปีนี้!

ขายของออนไลน์ ไม่มีหน้าร้านต้องเสียภาษีหรือไม่ ? ในปัจจุบันมีหลาย ๆ คนเริ่มเป็นพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์กันมากขึ้น โดยช่องทางยอดฮิตก็หนีไม่พ้น TikTok Shop, Lazada และ Shopee แน่นอนค่ะ พอเริ่มมีรายได้มากขึ้น สงสัยกันไหมคะว่าขายบน Marketplace แบบนี้ต้องเสียภาษีหรือไม่ เสียอย่างไร ? MyCloud รวบรวมมาให้ไว้หมดแล้ว พร้อมวิธีการยื่นภาษีไปอ่านกันได้เลยค่ะ   ไม่ว่าขายออนไลน์ช่องทางใดก็แล้วแต่ ต้องเสียภาษีนะคะ ถึงแม้ว่ายอดของคุณจะไม่ถึง 1,800,000 ต่อปี แต่ยื่นไว้ก่อนก็ไม่เสียหาย ไม่อย่างนั้นอาจโดนสุ่มเรียกย้อนหลังได้ค่ะ แล้วสรรพากรรู้ข้อมูลของเราได้อย่างไร? แน่นอนค่ะว่าผู้ให้บริการทางการเงินของเรา เป็นผู้ส่งให้กับทางสรรพากรโดยจะมีหลักเกณฑ์ คือมีเงินเข้าในบัญชีของเราเกิด 3,000 ครั้งต่อปี/ผู้ให้บริการ โดยผู้ให้บริการทางการเงินไม่ใช่ธนาคารต่าง ๆ แต่นับรวมถึง Lazada Shopee และกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Wallet) ด้วยเช่นกัน หากไม่ถึง 3,000 ครั้งแต่มากกว่า 400 ครั้งต่อปี และมียอดเงินเข้าดังกล่าวรวมแล้วเกิน 2 ล้านบาทขึ้นไปก็โดนส่งข้อมูลให้สรรพากรนะคะ เพราะฉะนั้นยื่นภาษี และเก็บหลักฐานไว้ให้ครบถ้วนสบายใจที่สุดค่ะ   ขายของออนไลน์ ต้องเสียภาษีแบบไหน?  […]

รู้จัก Chat Commerce คืออะไร ในยุคธุรกิจออนไลน์แบบนี้ การขายผ่านแชทดีอย่างไร

ปฏิเสธไม่ได้เลยว่าปัจจุบันแชทกลายเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวันไปแล้ว ทำให้หลากหลายแบรนด์ หรือธุรกิจจำนวนมากได้ปรับตัวและนำเอาช่องทางการสื่อสารนี้มาต่อยอดเป็นช่องทางการขาย จึงเกิดเป็นรูปแบบการค้าออนไลน์รูปแบบใหม่ที่เรียกว่า Chat Commerce ซึ่งกำลังได้รับความนิยมอย่างมากในประเทศไทย เพราะไม่เพียงแต่สร้างความสะดวกสบายให้กับผู้ซื้อและผู้ขายเท่านั้น แต่ยังช่วยสร้างความสัมพันธ์อันดีระหว่างแบรนด์กับลูกค้าอีกด้วย ดังนั้นในวันนี้ MyCloud Fulfillment จะพามาทำความรู้จักกับ Chat Commerce คืออะไร และมีข้อดีอย่างไรบ้างให้มากขึ้นในบทความนี้กัน   Chat Commerce คืออะไร  Chat Commerce คือรูปแบบการซื้อ-ขายสินค้าและบริการผ่านแพลตฟอร์มแชทต่าง ๆ ที่เน้นการสื่อสารแบบสองทางระหว่างผู้ขายและผู้ซื้อ โดยเป็นการผสมผสานระหว่างความสะดวกสบายของ E-Commerce เข้ากับความต้องการความเป็นส่วนตัวในการสนทนา ทำให้การซื้อขายมีความเป็นกันเองมากขึ้น ผู้ขายสามารถให้ข้อมูล ตอบคำถามและสร้างความประทับใจผ่านการพูดคุยได้โดยตรงผ่านกล่องข้อความ ซึ่งจะแตกต่างจากการซื้อ-ขายแบบเดิมที่จำเป็นต้องเห็นสินค้าจริงก่อน แล้วถึงจะตัดสินใจ ทำให้การสร้างความไว้วางใจผ่านการสนทนาในช่องแชท จึงเป็นหัวใจสำคัญที่ทำให้ลูกค้ากล้าตัดสินใจซื้อแม้จะยังไม่ได้เห็นสินค้าจริงนั่นเอง   หลักการทำงานของ Chat Commerce  หลักการทำงานของ Chat Commerce คือระบบจะใช้การทำงานแบบ Asynchronous ซึ่งสามารถดำเนินการหลายคำสั่งพร้อมกัน ทำให้การตอบสนองต่อความต้องการของลูกค้าเป็นไปอย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ ไม่ว่าจะเป็นการสอบถามข้อมูลสินค้า การสั่งซื้อหรือการชำระเงิน ทุกขั้นตอนสามารถดำเนินการผ่านแชทได้อย่างครบวงจร พร้อมทั้งมีระบบรักษาความปลอดภัยที่น่าเชื่อถือ ทำให้การซื้อขายผ่านแชทเป็นที่นิยมมากขึ้นในปัจจุบัน  แพลตฟอร์ม Chat Commerce ที่ได้รับความนิยมในไทย ปัจจุบันมีแพลตฟอร์ม […]