Knowledge Center

คัมภีร์ The TAO of Alibaba [ใครเป็นเจ้าของธุรกิจ ควรอ่าน!!]

คัมภีร์ The TAO of Alibaba [ใครเป็นเจ้าของธุรกิจ ควรอ่าน!]

ผมได้เจอแจ๊ค หม่าครับ!!! สุดยอดไอดอลของผม ได้ฟังเค้าสอนตัวๆ ได้สบตา พูดคุยด้วยนานๆ ใจนี่สั่นเลยครับ หวั่นไหวมาก ตอนได้จับมือ นี่อยากกรี๊ดดดมากๆ เลย ดีใจยิ่งกว่า ได้จับมือเฌอปรางอีก 555+

วันนี้ ผมจะมาเล่าให้ฟังถึงเรื่อง “TAO” หรือ “คัมภีร์เต๋า” ของ Alibaba ครับ เป็นสูตรที่พี่แจ๊คใช้มาตลอด ในการบริหาร Alibaba และ เป็นสิ่งที่แบบ ไม่ว่า Manager หน้าใหม่ อายุ 29 หรือ COO อายุ 70 ที่เกษียณไปแล้ว ก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเรื่องนี้สำคัญที่สุด และ เรื่องนี้เป็นเหตุผลที่ทำให้ Alibaba เติบโตมาได้จนถึงขนาดนี้

เป็นเรื่องเรียบง่าย ธรรมดาแหละครับ แบบ Vision, Mission ของบริษัท แต่ ที่นี่ไม่ใช่แค่ มีไว้เล่นๆเก๋ๆ ติดตามห้องน้ำครับ สำหรับที่นี่ เค้าใช้โพยนี้เอาไว้ “ไล่พนักงานออก” ต่างหาก เดี๋ยวผมจะเล่าให้ฟังว่ายังไงครับ

ก่อนอื่นเลย

Vision คือ เราเกิดขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาอะไร

Mission คือ สิ่งที่เราจะทำนั้นคืออะไร

Values คือ สเปคของคนที่จะช่วยเราไปถึงจุดนั้น

1) Vision (Why?)

Alibaba’s Vision

“To be an essential partner of small business people”

“เป็นคู่หูที่สำคัญของคนทำธุรกิจทุกคน”

Vision เป็นเหมือนคำถามว่า คุณเจ็บปวดเรื่องอะไร เพราะคุณอยากแก้ปัญหาไหนในโลกนี้ มันคือโจทย์อะไรบางอย่างที่คุณจะทำได้ยาวๆ และ เป็นปัญหาเสมอๆ ทุกช่วงสมัย เมื่อเลือกสักทางแล้ว จะไม่เปลี่ยนไปตลอดการ

อย่างที่ Alibaba คิดคือ ทำอะไรก็ได้ ตราบใดที่ยังช่วยเหลือธุรกิจ และ เป็นเพื่อนคู่เคียงของเค้าอยู่ นั่นเลยไม่ใช่แค่ทำเว็บขายของ แต่ยังพาเค้าไปทำเรื่อง Payment, Logistics, Cloud และ อื่นๆ อีกมากมาย

ทั้งหมดนี้เพื่อสนองใน วิสัยทัศน์ว่าต้องช่วยเหลือธุรกิจได้ ในทุกๆ ส่วน และ การเป็นคู่หูที่แท้จริงคือต้องทำทุกๆ ทางที่ช่วยเค้า ไม่ใช่แค่บางเรื่อง

เนี่ยแหละครับ ว่าทำไม Alibaba ถึงมี Product เยอะแยะ ออกมาช่วยคนอื่นมากมาย

ถ้าเทียบกับมนุษย์แล้ว นี่มันก็คือหัวใจของเราครับ ว่าเราหวั่นไหวเรื่องอะไร เราเศร้าเรื่องอะไร เรารักใครบ้าง คืออารมณ์ คือการทำตามหัวใจ คือการทำเพราะความเชื่อ และด้วยสารหัวใจอันนี้ ถ้าเราสื่อออกมาชัดๆ คนที่มีความเชื่อเหมือนกัน ก็จะอยู่กับบริษัทไปนานๆ

ในขณะเดียวกัน คนที่ไม่เชื่อเรื่องเดียวกัน ก็จะลาออกไปเองครับ เหมือนเป็นการเซ็ทคร่าวๆ ว่าใครเป็นพรรคพวก ฝั่งเดียวกับเราบ้าง

.

2) Mission (How?)

Alibaba’s mission

“To make it easy to do business anywhere”

“เราต้องการทำให้คุณทำธุรกิจ ที่ไหนก็ได้”+

Mission คือว่า เราจะทำอะไรในการแก้ไขปัญหาหรือตอบโจทย์จาก Vision ที่เรามีก่อนหน้านี้ มันคือ How ว่าคุณจะทำอะไรบ้างที่จับต้องได้จริงๆ จังๆ

อะไรคือ Goal ของคุณ คุณอยากให้บริษัทคุณเป็นแบบไหน มันเป็นเรื่องเกี่ยวกับตัวคุณล้วนๆ แล้วตอนนี้

ถ้าเทียบกับมนุษย์ มันคือ สมองครับ

สมองมีไว้คิด ตัดสินใจ สั่งงานให้ส่วนอื่นๆของร่างกายทำ ใจคิดถึงสิ่งที่โหยหา แต่ สมองเป็นคนคิดวิธีในการสำเร็จสิ่งเหล่านั้น เราต้องมีสิ่งนี้ให้ครบ บริษัทถึงสามารถ เดินต่อไปได้

Mission คือการตั้งเป้าให้ทีมงานทั้งหมดของคุณ มันอาจจะเปลี่ยนไปตามการเวลาได้

อย่างเช่น ก่อนหน้านี้ ตอน Alibaba ทำแค่จะขายของ

Mission คือ “Anyone can buy anything in efficient and safe way”

แต่ตอนนี้ เค้าทำหลายอย่างไม่ใช่แค่ขายของแล้ว เลยเปลี่ยนเป็นการทำให้ธุรกิจจัดการง่ายที่ไหนก็ได้แทนครับ

3) Values (What?)

นี่คือส่วนสำคัญ ที่กลั่นกรองออกมาจาก Vision, Mission ครับ มันคือสิ่งที่จะทำให้ Mission สำเร็จ พนักงานและบริษัทต้องโฟกัสใน Values เหล่านี้ต่อลูกค้า มันคือว่า นิสัยแบบไหน ที่บริษัทเชิดชู และ ต้องการ

Values ของ Alibaba คือ

“ Customer First/ Teamwork/ Embrace Changes/ Integrity/ Passion/ Honor your job”

“ลูกค้ามาก่อน/ ทำงานเป็นทีม/ ยอมรับความเปลี่ยนแปลง/ ความซื่อสัตย์/ ความหลงใหล/ ให้เกียรติกับงาน”

ถ้าเทียบกับมนุษย์ นี่คือแขนขาครับ เป็นสิ่งที่ต้องมี เพื่อให้กระทำสิ่งที่ หัวใจ และ สมองสั่งได้ เราต้องมีสิ่งนี้ให้ครบ บริษัทถึงสามารถ เดินต่อไปได้

สิ่งที่สำคัญคือ นี่คือ การคัดว่าใครจะอยู่ต่อ จะไปในบริษัทครับ

ที่ Alibaba จะมีการวัดผลสองแบบ

1) การวัด Performance การทำงานตาม KPI

2) การวัด Values ของพนักงานแบบ 360

โดยที่แบบ 2 เนี่ยคือ เค้าจะให้คนรอบตัวพนักงานคนนึงรีวิวคนๆ นั้นครับ

ตั้งแต่ หัวหน้า เพื่อนร่วมงาน รวมไปถึงลูกน้อง

ถ้าเกิดพนักงานคนนั้นเสีย Values ไป แบบตรงกันข้ามก็คือไล่ออกเลยครับ เช่น ทำงานคนเดียวไม่เป็นทีม, ไม่ซื่อสัตย์ แบบนี้ไล่ออกเลยครับ เพราะ Alibaba คิดว่าถึงแม้ผลงานดีก็จริง แต่สุดท้าย Values เข้ากันไม่ได้ ก็อยู่กันไม่ยาว และ จะทำให้คนอื่นๆ ในงานพลอยเสียพลังไปด้วย ก็เหมือนกับเรามีแฟนที่ดีสวยเก่ง แต่สุดท้าย นิสัยเข้ากันไม่ได้ ยังไงๆ ก็เลิกกันอยู่ดีนะแหละครับ ว่ามะ 555+

หนึ่งในคำพูดที่เค้าพูดทิ้งไว้คือ

“การไล่ออกไม่ใช่เพราะคนที่จะออก แต่เราทำเพราะคนที่จะอยู่ต่อต่างหาก”

โห นั่นแหละครับ คือเปลี่ยนมุมมองผมไปตลอดกาลเลย

คือเรามัวแต่เกรงใจ ไม่กล้าไล่พนักงานคนนึงออก เพราะยังไม่แน่ใจ แต่เรามองไม่เห็นว่าสุดท้าย คนดีๆ ที่อยู่กับเรานั้นสำคัญกว่า เราจะมาทำให้เค้าเหล่านั้นด่างพล้อยไม่ได้

#MyCloudFulfillment ขายของง่ายไม่ต้องแตะสต๊อก

บริการคลังสินค้าออนไลน์ เก็บ แพ็ค ส่ง ครบวงจร 

บทความที่เกี่ยวข้อง

อ่านเพิ่มเติม

5 ข้อดีของการเปิดหน้าร้าน – MyCloudFulfillment

ในยุคที่ใครๆ ก็ขายของออนไลน์ การมีหน้าร้าน ยังจำเป็นอยู่ไหม? ถ้าเปิดแล้วจะช่วยให้ขายดีขึ้นหรือเปล่า? คุณต้องตอบตัวเองให้ได้ก่อนว่า… ลูกค้าจะมาจากหน้าร้านมากน้อยแค่ไหน? แล้วแบรนด์คุณจำเป็นต้องมีหน้าร้านไหม? ถ้าจำเป็น… ก็เปิด ถ้ายังไม่จำเป็น… ก็อย่าเพิ่งเปิดครับ แต่ถ้าถามผมว่า มีหน้าร้านแล้วมันดีไหม? แน่นอนมันต้องมีทั้งข้อดีและข้อเสียอยู่แล้ว ถ้าตัดเรื่องค่าเช่าที่ หรือค่าจ้างพนักงานออกไป ก็มีข้อดีเยอะแยะเลยครับ เท่าที่ผมคิดออกมี 5 ข้อ ลองอ่านแล้วเอาไปตัดสินใจกันดูนะครับ 1.ลูกค้ากล้าซื้อ มีความน่าเชื่อถือมากขึ้น เรียกได้ว่าเป็นจุดแข็งของออฟไลน์ที่ร้านค้าออนไลน์ก็ยังทดแทนตรงนี้ไม่ได้การขายของแบบไม่เห็นหน้ากันมันจะมีความไม่สบายใจลูกค้าก็จะมีคำถามในใจว่า “จะโดนโกงไหมนะ” ฝั่งพ่อค้าแม่ค้าก็จะหงุดหงิดว่า “เมื่อไหร่จะโอน” แต่ถ้าเรามีหน้าร้าน ก็ตัดปัญหาตรงนี้ไปได้เลยครับลูกค้าจะรู้สึกว่า สามารถติดต่อเราได้ตลอดเวลาเราจะไม่หนีหายไป เพราะเราสามารถสร้างความน่าเชื่อถือได้ในระดับหนึ่งเลยทีเดียว ลูกค้าสามารถติดต่อเราได้ทุกที่ทุกเวลา  2.ได้ลองสินค้าจริง ตัดสินใจซื้อง่าย ผู้บริโภคยังมีความคิดที่ว่า ไม่เห็นไม่ซื้อถึงแม้จะเห็นรูปสินค้าออนไลน์อยู่ตรงหน้า แต่ก็ยังต้องการประสบการณ์ตรงกับตัวสินค้า เช่น สัมผัส มองเห็น ดมกลิ่น ได้ทดลองสินค้าจริงๆ ถ้าคุณขายของประเภทเสื้อผ้า หรือความสวยความงาม เช่น เครื่องสำอาง ครีมบำรุงผิว น้ำหอม ฯลฯ การเปิดหน้าร้านก็เป็นอีกช่องทางหนึ่งในการกระตุ้นให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อง่ายขึ้น เร็วขึ้นด้วยนะครับ คุณอาจจะโปรโมทจากช่องทางออนไลน์ของร้านคุณว่ามีโปรโมชั่นนี้ที่หน้าร้าน เพื่อดึงดูดให้คนมาที่ร้านก็ได้ก็เป็นการเชื่อมออฟไลน์กับออนไลน์เข้าไว้ด้วยกัน 3.รู้ความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า […]

งานแพ็คของ ส่งของ ไม่ยาก แต่ทำไมถึงวุ่นวาย และยุ่งยาก?

ขายสินค้าออนไลน์ ใครว่าสบาย ?        ไหนจะต้องวุ่นวายตอบแชทลูกค้า แล้วยังต้องมาจัดการตั้งแต่การจัดเก็บสินค้า ไปจนส่งสินค้าถึงมือลูกค้าอีก บางคนอาจคิดว่า การจัดเก็บสินค้าจะวางไว้ตรงไหนก็ได้ แค่ไม่เกะกะก็พอ ในช่วงแรก ๆ ของยังน้อย สต๊อกไม่เท่าไรก็ยังสบาย ๆ แต่การจัดเก็บสินค้าในระยะยาวล่ะครับ? หากวันหนึ่งธุรกิจของคุณเติบโตขึ้น(ซึ่งก็ควรจะเป็นแบบนั้น)มีของที่ต้องสต๊อกมากขึ้น พื้นที่เดิม ๆ ไม่ว่าจะเป็น ห้องนอน ห้องรับแขก โต๊ะกินข้าว กลับไม่พอวางแล้ว จะทำอย่างไรจริงไหมครับ? บางครั้งเก็บของไม่เป็นระเบียบ ใครเดินไปเหยียบ เละครับ!       จ้างพนักงานสิ ! คุณอาจจะดีใจไปกับยอดขายที่ถล่มถลาย จนลืมคิดไปว่า ยิ่งขายได้มากเท่าไรก็ต้องมานั่งหลังขดหลังแข็งแพ็คสินค้ามากขึ้นเท่านั้น บางร้านดีหน่อยมีครอบครัวช่วยเเพ็ค แต่บางร้านก็ต้องจ้างคนมาช่วยแพ็ค ตรงนี้แหละครับ นอกจากจะเปลืองงบประมาณไปแล้ว อาจจะยังต้องมาจัดการปัญหาคนอีกครับ อย่างที่ทราบกันดีว่า ยิ่งมากคนก็ยิ่งมากความ      แค่แพ็คของส่งของใครว่าง่าย ?        พูดถึงงานเเพ็คสินค้าที่อาจดูเหมือนจะง่าย ไม่ซับซ้อน แต่แท้จริงแล้วมีดีเทลและเสียเวลาใช้ได้เลยครับ […]

5 ข้อดีของการเปิดหน้าร้าน – MyCloudFulfillment

ในยุคที่ใครๆ ก็ขายของออนไลน์ การมีหน้าร้าน ยังจำเป็นอยู่ไหม? ถ้าเปิดแล้วจะช่วยให้ขายดีขึ้นหรือเปล่า? คุณต้องตอบตัวเองให้ได้ก่อนว่า… ลูกค้าจะมาจากหน้าร้านมากน้อยแค่ไหน? แล้วแบรนด์คุณจำเป็นต้องมีหน้าร้านไหม? ถ้าจำเป็น… ก็เปิด ถ้ายังไม่จำเป็น… ก็อย่าเพิ่งเปิดครับ แต่ถ้าถามผมว่า มีหน้าร้านแล้วมันดีไหม? แน่นอนมันต้องมีทั้งข้อดีและข้อเสียอยู่แล้ว ถ้าตัดเรื่องค่าเช่าที่ หรือค่าจ้างพนักงานออกไป ก็มีข้อดีเยอะแยะเลยครับ เท่าที่ผมคิดออกมี 5 ข้อ ลองอ่านแล้วเอาไปตัดสินใจกันดูนะครับ 1.ลูกค้ากล้าซื้อ มีความน่าเชื่อถือมากขึ้น เรียกได้ว่าเป็นจุดแข็งของออฟไลน์ที่ร้านค้าออนไลน์ก็ยังทดแทนตรงนี้ไม่ได้การขายของแบบไม่เห็นหน้ากันมันจะมีความไม่สบายใจลูกค้าก็จะมีคำถามในใจว่า “จะโดนโกงไหมนะ” ฝั่งพ่อค้าแม่ค้าก็จะหงุดหงิดว่า “เมื่อไหร่จะโอน” แต่ถ้าเรามีหน้าร้าน ก็ตัดปัญหาตรงนี้ไปได้เลยครับลูกค้าจะรู้สึกว่า สามารถติดต่อเราได้ตลอดเวลาเราจะไม่หนีหายไป เพราะเราสามารถสร้างความน่าเชื่อถือได้ในระดับหนึ่งเลยทีเดียว ลูกค้าสามารถติดต่อเราได้ทุกที่ทุกเวลา  2.ได้ลองสินค้าจริง ตัดสินใจซื้อง่าย ผู้บริโภคยังมีความคิดที่ว่า ไม่เห็นไม่ซื้อถึงแม้จะเห็นรูปสินค้าออนไลน์อยู่ตรงหน้า แต่ก็ยังต้องการประสบการณ์ตรงกับตัวสินค้า เช่น สัมผัส มองเห็น ดมกลิ่น ได้ทดลองสินค้าจริงๆ ถ้าคุณขายของประเภทเสื้อผ้า หรือความสวยความงาม เช่น เครื่องสำอาง ครีมบำรุงผิว น้ำหอม ฯลฯ การเปิดหน้าร้านก็เป็นอีกช่องทางหนึ่งในการกระตุ้นให้ลูกค้าตัดสินใจซื้อง่ายขึ้น เร็วขึ้นด้วยนะครับ คุณอาจจะโปรโมทจากช่องทางออนไลน์ของร้านคุณว่ามีโปรโมชั่นนี้ที่หน้าร้าน เพื่อดึงดูดให้คนมาที่ร้านก็ได้ก็เป็นการเชื่อมออฟไลน์กับออนไลน์เข้าไว้ด้วยกัน 3.รู้ความต้องการที่แท้จริงของลูกค้า […]

งานแพ็คของ ส่งของ ไม่ยาก แต่ทำไมถึงวุ่นวาย และยุ่งยาก?

ขายสินค้าออนไลน์ ใครว่าสบาย ?        ไหนจะต้องวุ่นวายตอบแชทลูกค้า แล้วยังต้องมาจัดการตั้งแต่การจัดเก็บสินค้า ไปจนส่งสินค้าถึงมือลูกค้าอีก บางคนอาจคิดว่า การจัดเก็บสินค้าจะวางไว้ตรงไหนก็ได้ แค่ไม่เกะกะก็พอ ในช่วงแรก ๆ ของยังน้อย สต๊อกไม่เท่าไรก็ยังสบาย ๆ แต่การจัดเก็บสินค้าในระยะยาวล่ะครับ? หากวันหนึ่งธุรกิจของคุณเติบโตขึ้น(ซึ่งก็ควรจะเป็นแบบนั้น)มีของที่ต้องสต๊อกมากขึ้น พื้นที่เดิม ๆ ไม่ว่าจะเป็น ห้องนอน ห้องรับแขก โต๊ะกินข้าว กลับไม่พอวางแล้ว จะทำอย่างไรจริงไหมครับ? บางครั้งเก็บของไม่เป็นระเบียบ ใครเดินไปเหยียบ เละครับ!       จ้างพนักงานสิ ! คุณอาจจะดีใจไปกับยอดขายที่ถล่มถลาย จนลืมคิดไปว่า ยิ่งขายได้มากเท่าไรก็ต้องมานั่งหลังขดหลังแข็งแพ็คสินค้ามากขึ้นเท่านั้น บางร้านดีหน่อยมีครอบครัวช่วยเเพ็ค แต่บางร้านก็ต้องจ้างคนมาช่วยแพ็ค ตรงนี้แหละครับ นอกจากจะเปลืองงบประมาณไปแล้ว อาจจะยังต้องมาจัดการปัญหาคนอีกครับ อย่างที่ทราบกันดีว่า ยิ่งมากคนก็ยิ่งมากความ      แค่แพ็คของส่งของใครว่าง่าย ?        พูดถึงงานเเพ็คสินค้าที่อาจดูเหมือนจะง่าย ไม่ซับซ้อน แต่แท้จริงแล้วมีดีเทลและเสียเวลาใช้ได้เลยครับ […]