Knowledge Center

สินค้าคงคลัง คืออะไร มีประโยชน์อย่างไรบ้าง พร้อมเทคนิคการจัดเก็บสินค้า 

สินค้าคงคลัง คืออะไร มีประโยชน์อย่างไรบ้าง พร้อมเทคการจัดเก็บสินค้า

ไม่ว่าคุณจะเป็นเจ้าของร้านค้าออนไลน์ ร้านค้าทั่วไป หรือโรงงานผลิตสินค้า การจัดการสินค้าคงคลังที่ดีเป็นกุญแจสำคัญที่จะช่วยให้ธุรกิจของคุณดำเนินไปได้อย่างราบรื่น เพราะการมีสินค้าพร้อมขายในปริมาณที่เหมาะสม ไม่มากหรือน้อยจนเกินไป จะช่วยให้คุณไม่พลาดโอกาสในการขาย และไม่ต้องแบกรับภาระต้นทุนที่สูงเกินจำเป็น บทความนี้จะพาคุณไปทำความรู้จักกับสินค้าคงคลัง คืออะไร พร้อมเทคนิคการจัดการสินค้าที่จะช่วยยกระดับธุรกิจของคุณ 

สินค้าคงคลัง คืออะไร

สินค้าคงคลัง คือทรัพย์สินที่มีมูลค่าในรูปแบบของสินค้าที่องค์กรเก็บสำรองไว้เพื่อวัตถุประสงค์ทางธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นการจัดจำหน่าย การดำเนินงานในอนาคต การบริหารสินค้าคงคลังที่มีประสิทธิภาพจำเป็นต้องรักษาสมดุลระหว่างปริมาณสินค้าที่เพียงพอต่อความต้องการของตลาด และการควบคุมต้นทุนการจัดเก็บที่เหมาะสม เพื่อให้ธุรกิจสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างทันท่วงที โดยไม่เกิดภาระต้นทุนที่สูงเกินไป  

สินค้าคงคลังมีความสำคัญอย่างไร 

สินค้าคงคลังเปรียบเสมือนเส้นเลือดใหญ่ที่หล่อเลี้ยงการดำเนินธุรกิจให้เป็นไปอย่างราบรื่น การมีระบบจัดการสินค้าคงคลังที่ดีช่วยสร้างความได้เปรียบในการแข่งขันทางธุรกิจ โดยเฉพาะในด้านการควบคุมต้นทุนและการรักษาระดับความพึงพอใจของลูกค้า นอกจากนี้ การเข้าใจว่าสินค้าคงคลัง คืออะไร และควรมีการจัดการที่ดียังเป็นตัวชี้วัดสำคัญที่สะท้อนถึงสุขภาพทางการเงินและประสิทธิภาพการดำเนินงานของธุรกิจนั้น ๆ เพราะฉะนั้นการบริหารจัดการที่ดีก็จะช่วยลดความเสี่ยงจากการขาดแคลนสินค้าและการสูญเสียโอกาสทางธุรกิจ

สินค้าคงคลัง มีกี่ประเภท

สินค้าคงคลัง สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภทหลัก ดังนี้   

1. วัตถุดิบ (Raw Materials)

สิ่งที่ผู้ผลิตนำมาใช้ในกระบวนการผลิตเพื่อแปรรูปเป็นสินค้าสำเร็จรูปที่สามารถนำไปจำหน่ายได้ในภายหลัง อาจเป็นสิ่งของที่ผลิตขึ้นเองหรือจัดซื้อจากบริษัทอื่น เช่น ผ้าสำหรับตัดเย็บเสื้อผ้า หรือเม็ดพลาสติกสำหรับขึ้นรูปผลิตภัณฑ์ต่าง ๆ

2. งานที่อยู่ในกระบวนการผลิต (Work in Progress)

สินค้าประเภทนี้ หมายถึงสินค้าในขั้นตอนการผลิตที่ยังไม่สมบูรณ์ หรือกำลังรอเข้าสู่กระบวนการถัดไป เช่น ชิ้นงานที่อยู่ระหว่างการประกอบ หรือผ่านการแปรรูปเพียงบางส่วน โดยมักพบในสายการผลิตที่มีหลายขั้นตอนซับซ้อน

3. สินค้าสำเร็จรูป (Finished Goods)

สินค้าที่ผ่านการผลิตและการตรวจสอบคุณภาพอย่างครบถ้วน พร้อมสำหรับการจัดจำหน่ายหรือส่งมอบให้กับลูกค้าแล้ว เช่น เสื้อผ้าที่แพ็กเสร็จเรียบร้อย หรือเครื่องใช้ไฟฟ้าที่พร้อมวางจำหน่าย

4. วัสดุและอุปกรณ์สำหรับซ่อมบำรุง (Maintenance, Repair, and Operations)

วัสดุหรืออุปกรณ์ที่ไม่ได้ใช้ในการผลิตโดยตรง แต่จำเป็นสำหรับการดูแลรักษาเครื่องจักรหรืออุปกรณ์ต่าง ๆ ให้สามารถทำงานได้ต่อเนื่อง เช่น น้ำมันหล่อลื่น อะไหล่สำรอง เครื่องมือซ่อมแซม รวมถึงวัสดุสิ้นเปลืองในคลังสินค้า

สินค้าคงคลังในคลังสินค้าออนไลน์ มีกี่ประเภท 

ในธุรกิจออนไลน์ การบริหารคลังสินค้าไม่ได้หมายถึงแค่การเก็บของไว้รอจัดส่งเท่านั้น แต่ยังรวมถึงการจัดการองค์ประกอบต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับประสบการณ์ของลูกค้าด้วยเช่นกัน เพราะฉะนั้นการรู้ว่า ในคลังสินค้าของคุณควรมีอะไรอยู่บ้าง และต้องจัดการอย่างมีระบบก็จะช่วยให้คุณส่งของได้เร็ว ตอบโจทย์ลูกค้าได้ครบ และสร้างภาพลักษณ์แบรนด์ที่น่าจดจำ ซึ่งโดยทั่วไป สินค้าคงคลังในคลังสินค้าออนไลน์สามารถแบ่งออกได้เป็น 4 ประเภทหลัก ดังนี้

1. สินค้าพร้อมขาย (Ready-to-Sell Products) 

สินค้าหลักที่พร้อมแล้วสำหรับการจัดส่งให้ลูกค้าทันทีที่มีออเดอร์เข้ามา การมีสต๊อกสินค้าพร้อมขายในปริมาณที่เหมาะสมก็จะช่วยสร้างความพึงพอใจ และประทับให้แก่ลูกค้าได้ 

2. สินค้าสำหรับโปรโมชั่น (Promotional Items) 

สินค้าที่เตรียมไว้สำหรับแถมหรือจัดโปรโมชั่นร่วมกับสินค้าหลัก (Bundle) เช่น ของแถม สินค้าตัวอย่างหรือสินค้าขนาดทดลอง การสต๊อกสินค้าประเภทนี้ไว้ ก็จะช่วยให้คุณสามารถรับมือกับคำสั่งซื้อที่เข้ามาได้ 

3. วัสดุเพิ่มมูลค่าแบรนด์ (Branding Materials) 

องค์ประกอบต่าง ๆ ที่ช่วยยกระดับประสบการณ์การช้อปปิ้งของลูกค้า เช่น กล่องใส่สินค้าที่มีโลโก้แบรนด์ ถุงผ้าแบรนด์หรือการ์ดขอบคุณที่ออกแบบพิเศษ ซึ่งจะช่วยสร้างความประทับใจและเพิ่มมูลค่าให้กับสินค้าหลัก 

4. สื่อส่งเสริมการขาย (Marketing Materials) 

โบรชัวร์แนะนำสินค้าใหม่ คูปองส่วนลดสำหรับการสั่งซื้อครั้งต่อไปหรือการ์ดสะสมแต้ม ซึ่งช่วยกระตุ้นให้เกิดการซื้อซ้ำและสร้าง Brand Loyalty ได้ในระยะยาว

พนักงานตรวจเช็กสินค้า

การจัดเก็บสินค้าคงคลังอย่างเป็นระบบนำมาซึ่งประโยชน์มากมายต่อธุรกิจ ได้แก่ 

  • ด้านการรักษาความสมดุลระหว่างอุปสงค์และอุปทาน การจัดการสินค้าคงคลังที่มีประสิทธิภาพช่วยให้ธุรกิจสามารถตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้อย่างทันท่วงที
  • ลดความเสี่ยงจากการขาดแคลนสินค้าและช่วยควบคุมต้นทุนการดำเนินงานให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
  • ช่วยเพิ่มความยืดหยุ่นในการบริหารจัดการห่วงโซ่อุปทาน 
  • สร้างความได้เปรียบในการแข่งขันทางธุรกิจ  

เทคนิคการจัดการสินค้าคงคลัง มีอะไรบ้าง

เมื่อเราเข้าใจว่าสินค้าคงคลัง คืออะไรแล้ว สิ่งสำคัญต่อมาคือการจัดการที่มีประสิทธิภาพ ซึ่งต้องอาศัยเทคนิคและวิธีการที่เหมาะสม เพื่อให้สามารถควบคุมปริมาณสินค้าและต้นทุนการจัดเก็บได้อย่างมีประสิทธิภาพ เช่น 

1. การแยกประเภทสินค้า

เริ่มต้นกันที่การแยกประเภทสินค้า เพื่อให้การหยิบสินค้าไปแพ็คส่งลูกค้านั้นมีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น โดยสามารถแบ่งออกได้ทั้งหมด 3 ประเภท ดังนี้

  • การแยกประเภทสินค้าแบบ FIFO หรือ First-In, First-Out เป็นวิธีที่เหมาะสำหรับร้านค้าที่ขายตามเลขที่ล็อต (Lot No.) ช่วยในการติดตามแหล่งที่มาและคุณภาพของสินค้า ทำให้สามารถจัดการปัญหาคุณภาพได้อย่างมีประสิทธิภาพ
  • การแยกประเภทสินค้าแบบ FEFO หรือ First Expire date First Out โดยจะเรียงสินค้าตามวันหมดอายุ (Expiry Date) วิธีการแยกประเภทสินค้าแบบนี้ก็จะช่วยลดความผิดพลาดในการหยิบสินค้าที่หมดอายุให้แก่ลูกค้า 
  • การแยกประเภทสินค้าแบบ LIFO หรือ Last In First Out เป็นการจำแนกประเภทสำหรับสินค้าที่มีอายุการใช้งานจำกัด โดยการหยิบสินค้าที่เข้ามาล่าสุดออกก่อนเสมอ โดยการแยกประเภทสินค้าประเภทนี้จะช่วยให้คิดต้นทุน กำไรและภาษีได้ง่ายกว่าการจำแนกประเภทแบบอื่น ๆ 

2. ระยะเวลาในการจัดหาสินค้า

ระยะเวลาในการจัดหาสินค้าเป็นปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อประสิทธิภาพการจัดการสินค้าคงคลัง ผู้ประกอบการต้องเข้าใจและวางแผนเรื่องระยะเวลาในการสั่งซื้อ การผลิตและการจัดส่งสินค้า เพื่อให้มั่นใจว่าจะมีสินค้าเพียงพอต่อความต้องการของลูกค้า โดยไม่เกิดปัญหาการแพ็คสินค้าไม่ทันหรือปัญหาขาดแคลนสินค้า 

3. การเตรียมสต๊อกสินค้าล่วงหน้า

การบริหารสต๊อกให้เพียงพอกับความต้องการของตลาดถือเป็นหัวใจสำคัญ เพราะสินค้าคงคลัง คือต้นทุนที่เจ้าของธุรกิจต้องบริหารจัดการให้ดี โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลหรือแคมเปญพิเศษที่มียอดขายพุ่งสูง ปัญหาที่ร้านค้าออนไลน์มักเจอคือ “สินค้าขาดสต๊อก” ทำให้แพ็คสินค้าไม่ทันจนพลาดโอกาสทำกำไร หรือ “สินค้าค้างสต๊อก” ที่ส่งผลให้ต้นทุนจม 

ที่ MyCloud เราเข้าใจปัญหานี้ดี จึงพัฒนา MyCloud Inventory Dashboard แดชบอร์ดอัจฉริยะที่ช่วยวิเคราะห์และวางแผนการจัดการสต๊อกแบบครบวงจร จะแสดงภาพรวมสต๊อกทั้งหมด พร้อมแจ้งเตือนว่าสินค้าตัวไหนควรรีบเติมสต๊อก (Safety stock) หรือสินค้าใดที่ควรเร่งระบายเพื่อลดความเสี่ยงจากต้นทุนจม นอกจากนี้ยังช่วยวิเคราะห์แนวโน้มตลาดและพฤติกรรมผู้บริโภคผ่าน Customer Insights ทำให้คุณสามารถวางแผนการสั่งผลิตหรือนำเข้าสินค้าได้ตรงตามความต้องการของลูกค้า ก็จะช่วยให้คุณประเมินความต้องการสินค้าได้แม่นยำขึ้นและสามารถจัดเตรียมสต๊อกได้อย่างเหมาะสม ไม่มากหรือน้อยจนเกินไป   

4. ตรวจสอบคลังสินค้าประจำ

ถึงแม้จะมีการแยกประเภทสินค้าตามประเภท และมีการเตรียมสต๊อกสินค้าล่วงหน้าแล้วก็ตาม แต่ก็จำเป็นต้องตรวจนับสต๊อกสินค้า (Cycle Count) อย่างสม่ำเสมอ เพื่อเป็นการ Double-Check อีกครั้ง ทั้งในเรื่องของจำนวนสินค้า การจัดเรียงสินค้าว่า ยังถูกต้องตามประเภทที่จำแนกไว้หรือไม่ รวมถึงการตรวจสอบสถานะของสินค้า เช่น สินค้าชำรุด หมดอายุหรือสูญหาย ซึ่งอาจเกิดขึ้นได้โดยไม่รู้ตัว นอกจากนี้ การตรวจสอบประจำยังช่วยให้รู้ว่าสินค้าตัวไหนขายดีหรือขายช้า ทำให้วางแผนจัดซื้อ จัดโปรโมชั่น และวางแผนได้ตรงจุดมากยิ่งขึ้น 

ถึงอย่างนั้น การนับสต๊อกเป็นขั้นตอนที่ใช้เวลานานมาก เพื่อให้เรื่องที่ซับซ้อนและต้องใช้เวลานาน เปลี่ยนมาเป็นเรื่องที่ง่าย รวดเร็วและแม่นยำ MyCloud ยินดีเข้ามาเป็นพาร์ทเนอร์ธุรกิจที่ดีให้แก่คุณ ด้วยระบบ Inventory Management ที่ถูกออกแบบมา เพื่อลดข้อผิดพลาดและเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงานโดยเฉพาะ เพราะ MyCloud ทำงานด้วยระบบบาร์โค้ด 100% ลดความผิดพลาดจากการนับด้วยมือ (Human Error) ให้เป็นศูนย์ และย่นระยะเวลาการตรวจนับให้เร็วขึ้นหลายเท่าตัว สามารถติดตามติดตามสถานะและวันหมดอายุ 

5. ตรวจสอบคลังสินค้าให้เป็นระเบียบอยู่เสมอ 

คลังสินค้าที่เป็นระเบียบ ช่วยให้การทำงานคล่องตัวและลดโอกาสเกิดความผิดพลาด เช่น การหยิบสินค้าผิด การจัดส่งช้า หรือพื้นที่เก็บไม่เพียงพอ การจัดเก็บสินค้าเป็นหมวดหมู่ ใช้ป้ายกำกับชัดเจนหรือใช้ระบบบาร์โค้ดในการทำงาน ก็จะช่วยให้ทีมงานสามารถค้นหาสินค้าได้เร็ว และสามารถหยิบสินค้าได้อย่างมีระบบ นอกจากนี้ การรักษาความเป็นระเบียบในคลังอย่างต่อเนื่อง ยังช่วยให้คลังของคุณพร้อมรับยอดขายที่พุ่งขึ้นได้ตลอดเวลา โดยไม่สะดุดหรือเกิดความวุ่นวายในการจัดการออเดอร์ได้ในภายหลังอีกด้วย และเพื่อยกระดับการจัดระเบียบคลังสินค้าให้เป็นระบบและแม่นยำสูงสุด การนำระบบ WMS (Warehouse Management System) จาก MyCloud เข้ามาใช้ ก็ช่วยกำหนดตำแหน่งจัดเก็บ (Location) ที่ชัดเจน ด้วยการทำงานผ่านระบบบาร์โค้ด ลดข้อผิดพลาดในการหยิบสินค้าให้เป็นศูนย์ พร้อมระบบที่ถูกออกแบบเส้นทางในการหยิบสินค้า และจัดลำดับการทำงานให้พนักงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ทำให้ไม่ว่าออเดอร์จะเข้ามามากแค่ไหน คลังของคุณก็พร้อมรับมือได้อย่างมืออาชีพ แน่นอน 

 พนักงานตรวจเชกสินค้าก่อนนำส่ง

สรุปบทความ 

สินค้าคงคลัง คือสิ่งสำคัญที่ธุรกิจต้องบริหารจัดการให้เหมาะสม การจัดการสินค้าคงคลังที่มีประสิทธิภาพถือเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จทางธุรกิจ ดังนั้นการเข้าใจประเภทของสินค้าคงคลัง ความสำคัญและเทคนิคการจัดการที่เหมาะสมจะช่วยให้ธุรกิจสามารถควบคุมต้นทุน นอกจากนี้ช่วยลดต้นทุนการดำเนินงาน และยังเพิ่มความสามารถในการแข่งขันทางการตลาด ไปพร้อมกับสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้าได้ในระยะยาวอีกด้วย 

สำหรับผู้ประกอบการที่กำลังมองหาโซลูชันการจัดการสินค้าคงคลังที่ครบวงจร MyCloud Fulfillment พร้อมให้บริการระบบ Inventory Management ที่ทันสมัย ช่วยให้คุณบริหารจัดการสินค้าคงคลังได้อย่างมีประสิทธิภาพ ด้วยระบบคลังสินค้าออนไลน์ที่ตอบโจทย์การเติบโตของธุรกิจออนไลน์ พร้อมฟีเจอร์ครบครันทั้งการติดตามสต๊อกแบบ Real-time ไปจนถึง ระบบ WMS (Warehouse Management System) ที่ช่วยจัดการขั้นตอนการรับ-จัดเก็บ-หยิบ-แพ็ค และจัดส่งสินค้าให้เป็นระบบ พร้อมลดข้อผิดพลาดและประหยัดเวลา และเรายังมีอีกหนึ่งฟีเจอร์เด่น คือรายงานการนับสินค้า (Cycle Count Report) ซึ่งเป็นเครื่องมือสำคัญในการตรวจสอบและรักษาความถูกต้องของข้อมูลสินค้าคงคลัง ช่วยให้มั่นใจว่าสินค้าคงเหลือในระบบตรงกับสินค้าจริงในคลัง ลดความเสี่ยงจากสินค้าขาด-เกินหรือสูญหาย พร้อมรายงานผลแบบละเอียดด้วย MyCloud Inventory Dashboard กับ Dashboard สรุปยอดขายแบบภาพรวม ให้คุณสามารถวางแผนเพื่อสต๊อกสินค้าได้ตรงตามกับจำนวนความต้องการขอลูกค้า ไม่ต้องเสี่ยงจมทุน ขายดีขึ้นแน่นอน เพราะเราช่วยให้คุณสามารถเติบโตทางธุรกิจได้อย่างไร้กังวล ปล่อยให้เรื่องหลังบ้านเป็นเรื่องของเราได้เลย  

บทความที่เกี่ยวข้อง

อ่านเพิ่มเติม

MyCloud Sale Page

จะดีกว่าไหม? ถ้าขายออนไลน์แล้วจ่ายค่าธรรมเนียมการขายได้ถูกลง ทุกวันนี้การขายผ่าน Marketplace อย่าง Shopee, Lazada, TikTok Shop หรือ Line Shopping อาจจะช่วยให้ยอดขายพุ่ง แต่สิ่งที่ตามมาคือ “ค่าธรรมเนียมการขาย” หรือ “ค่า GP” ที่แต่ละแพลตฟอร์มหักจากยอดขาย ซึ่งจะแตกต่างกันไปตามสินค้าและแพลตฟอร์ม กำไรที่ควรได้จึงอาจลดลงโดยไม่รู้ตัว เจ้าของธุรกิจออนไลน์จึงต้องวางแผนให้รอบคอบ ทั้งเรื่องราคาขาย โปรโมชันและต้นทุน ให้คุ้มกับค่าธรรมเนียมที่ต้องจ่าย แต่รู้ไหมว่ายังมีอีกหนึ่งช่องทางการขายที่ช่วยลดต้นทุน และเพิ่มกำไรได้จริง นั่นก็คือฟีเจอร์ MyCloud Sale Page ที่จะมาบอกต่อในบทความนี้ค่ะ ปัญหาเมื่อขายทาง Marketplace อย่างที่เคยบอกไปก่อนหน้านี้ ค่าธรรมเนียมการขาย (GP) ของแพลตฟอร์ม Marketplace ทุกวันนี้ถือว่าสูงพอสมควร ทำให้แม้ร้านค้าจะอัดโปรแรงแค่ไหน หรือดึงดูดลูกค้าได้มากเพียงใด รายได้สุทธิที่ได้รับจากคำสั่งซื้อก็อาจจะถูกแพลตฟอร์มหักลบไป แต่เรื่องค่าธรรมเนียมยังไม่ใช่อุปสรรคเดียว เดี๋ยว MyCloud จะพาไปดูว่า ปัจจัยอะไรอีกบ้าง…ที่ทำให้ธุรกิจออนไลน์อาจไปไม่สุด ทั้งที่ยอดขายก็ดูจะดี! 1.ค่าธรรมเนียมสูง (GP สูง) การขายผ่าน Marketplace มีค่าธรรมเนียมการขายเฉลี่ย […]

เจ้าของธุรกิจออนไลน์ควรรู้! เปิดร้านขายของใน Shopee เสียค่าอะไรบ้าง?

ในยุคที่การช้อปปิ้งออนไลน์กำลังเฟื่องฟู Shopee กลายเป็นแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซยอดนิยมที่ผู้ประกอบการหลายคนเลือกเป็นช่องทางในการขายสินค้า แต่หลายคนอาจยังไม่ทราบว่าการขายของใน Shopee มีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง วันนี้เราจะมาไขข้อข้องใจเกี่ยวกับค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ที่ผู้ขายต้องจ่ายเมื่อเปิดร้านบน Shopee เพื่อให้คุณสามารถวางแผนธุรกิจและคำนวณต้นทุนได้อย่างแม่นยำ พร้อมแล้วมาดูกันว่าขายของใน Shopee เสียค่าอะไรบ้าง   ขายของใน shopee เสียค่าอะไรบ้าง ก่อนที่จะเริ่มขายสินค้าบน Shopee ผู้ขายควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ที่จะต้องจ่าย เพื่อให้สามารถตั้งราคาสินค้าได้อย่างเหมาะสมและทำกำไรได้ตามเป้าหมาย มาดูกันว่ามีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง   1. ค่าธรรมเนียมจากการขาย การขายของใน Shopee มีค่าธรรมเนียมการขายที่แตกต่างกันตามประเภทของร้านค้าและหมวดหมู่สินค้า ซึ่งทางช้อปปี้จะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในส่วนนี้จากทั้ง Shopee Seller ที่ลงขายแบบ Mall Sellers และ Non-Mall Sellers นั้น ทางช้อปปี้จะเริ่มเก็บค่าธรรมเนียมเมื่อได้รับคำสั่งซื้อและจัดการคำสั่งซื้อจนเสร็จ ซึ่งจะเก็บค่าธรรมเนียมตามประเภทของสินค้า ดังนี้ หมวดหมู่สินค้า Shopee Mall Seller (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) Non-Mall Seller(รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) สินค้าในหมวดหมู่อิเล็กทรอนิกส์ 9% – 11% 8% สินค้าในหมวดหมู่อิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ […]

ทำความเข้าใจทุก Platform การขาย ช่องทางไหนเวิร์คสุด?

ธุรกิจออนไลน์ไปได้สวย ต้องเข้าใจทุก Platform การขาย           ธุรกิจ E-Commerce เติบโตขึ้นมาก ถึงมากที่สุดในปี2020 ยิ่งในช่วงวิกฤตแบบนี้ เพราะช่องทางออนไลน์ไม่ใช่แค่ตลาดเสมือนจริงที่จำลองโลกการซื้อขายไว้บนโลกออนไลน์ แต่เป็นช่องทางหลักอีกช่องทางหนึ่งที่ทำเงินให้ผู้ขายไม่แพ้การขายหน้าร้านเลย เผลอ ๆ มากกว่าด้วยซ้ำค่ะ ทั้งนี้เพราะ การขายออนไลน์ทำให้ผู้ขายเข้าถึงลูกค้ามากขึ้น และการซื้อของออนไลน์ หรือการใช้อินเตอร์เน็ตถือเป็นวิถีชีวิตของคนยุคใหม่ไปแล้ว และแน่นอนว่าทั้งผู้ซื้อและผู้ขายออนไลน์ต้องเคยซื้อขาย หรือเข้าไปในช่องทางต่าง ๆ เหล่านี้ 1. Social Media 2. E-Marketplace และ 3. บน Website ของแบรนด์ แล้วช่องทางไหนเป็นช่องทางที่ดี และเหมาะสมที่สุดในการขายกันแน่ วันนี้เราจะมาหาคำตอบไปพร้อม ๆ กันค่ะ           ตามสถิติแล้วช่องทางการขายที่มีมานาน และเป็นช่องทางแรก ๆ ที่คนลงขายของกันก็คือ Social Media ไม่ว่าจะเป็น Facebook ก็ดี Instagram, Twitter ก็ดี […]

MyCloud Sale Page

จะดีกว่าไหม? ถ้าขายออนไลน์แล้วจ่ายค่าธรรมเนียมการขายได้ถูกลง ทุกวันนี้การขายผ่าน Marketplace อย่าง Shopee, Lazada, TikTok Shop หรือ Line Shopping อาจจะช่วยให้ยอดขายพุ่ง แต่สิ่งที่ตามมาคือ “ค่าธรรมเนียมการขาย” หรือ “ค่า GP” ที่แต่ละแพลตฟอร์มหักจากยอดขาย ซึ่งจะแตกต่างกันไปตามสินค้าและแพลตฟอร์ม กำไรที่ควรได้จึงอาจลดลงโดยไม่รู้ตัว เจ้าของธุรกิจออนไลน์จึงต้องวางแผนให้รอบคอบ ทั้งเรื่องราคาขาย โปรโมชันและต้นทุน ให้คุ้มกับค่าธรรมเนียมที่ต้องจ่าย แต่รู้ไหมว่ายังมีอีกหนึ่งช่องทางการขายที่ช่วยลดต้นทุน และเพิ่มกำไรได้จริง นั่นก็คือฟีเจอร์ MyCloud Sale Page ที่จะมาบอกต่อในบทความนี้ค่ะ ปัญหาเมื่อขายทาง Marketplace อย่างที่เคยบอกไปก่อนหน้านี้ ค่าธรรมเนียมการขาย (GP) ของแพลตฟอร์ม Marketplace ทุกวันนี้ถือว่าสูงพอสมควร ทำให้แม้ร้านค้าจะอัดโปรแรงแค่ไหน หรือดึงดูดลูกค้าได้มากเพียงใด รายได้สุทธิที่ได้รับจากคำสั่งซื้อก็อาจจะถูกแพลตฟอร์มหักลบไป แต่เรื่องค่าธรรมเนียมยังไม่ใช่อุปสรรคเดียว เดี๋ยว MyCloud จะพาไปดูว่า ปัจจัยอะไรอีกบ้าง…ที่ทำให้ธุรกิจออนไลน์อาจไปไม่สุด ทั้งที่ยอดขายก็ดูจะดี! 1.ค่าธรรมเนียมสูง (GP สูง) การขายผ่าน Marketplace มีค่าธรรมเนียมการขายเฉลี่ย […]

เจ้าของธุรกิจออนไลน์ควรรู้! เปิดร้านขายของใน Shopee เสียค่าอะไรบ้าง?

ในยุคที่การช้อปปิ้งออนไลน์กำลังเฟื่องฟู Shopee กลายเป็นแพลตฟอร์มอีคอมเมิร์ซยอดนิยมที่ผู้ประกอบการหลายคนเลือกเป็นช่องทางในการขายสินค้า แต่หลายคนอาจยังไม่ทราบว่าการขายของใน Shopee มีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง วันนี้เราจะมาไขข้อข้องใจเกี่ยวกับค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ที่ผู้ขายต้องจ่ายเมื่อเปิดร้านบน Shopee เพื่อให้คุณสามารถวางแผนธุรกิจและคำนวณต้นทุนได้อย่างแม่นยำ พร้อมแล้วมาดูกันว่าขายของใน Shopee เสียค่าอะไรบ้าง   ขายของใน shopee เสียค่าอะไรบ้าง ก่อนที่จะเริ่มขายสินค้าบน Shopee ผู้ขายควรทำความเข้าใจเกี่ยวกับค่าธรรมเนียมต่าง ๆ ที่จะต้องจ่าย เพื่อให้สามารถตั้งราคาสินค้าได้อย่างเหมาะสมและทำกำไรได้ตามเป้าหมาย มาดูกันว่ามีค่าใช้จ่ายอะไรบ้าง   1. ค่าธรรมเนียมจากการขาย การขายของใน Shopee มีค่าธรรมเนียมการขายที่แตกต่างกันตามประเภทของร้านค้าและหมวดหมู่สินค้า ซึ่งทางช้อปปี้จะเรียกเก็บค่าธรรมเนียมในส่วนนี้จากทั้ง Shopee Seller ที่ลงขายแบบ Mall Sellers และ Non-Mall Sellers นั้น ทางช้อปปี้จะเริ่มเก็บค่าธรรมเนียมเมื่อได้รับคำสั่งซื้อและจัดการคำสั่งซื้อจนเสร็จ ซึ่งจะเก็บค่าธรรมเนียมตามประเภทของสินค้า ดังนี้ หมวดหมู่สินค้า Shopee Mall Seller (รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) Non-Mall Seller(รวมภาษีมูลค่าเพิ่ม) สินค้าในหมวดหมู่อิเล็กทรอนิกส์ 9% – 11% 8% สินค้าในหมวดหมู่อิเล็กทรอนิกส์ ได้แก่ […]

ทำความเข้าใจทุก Platform การขาย ช่องทางไหนเวิร์คสุด?

ธุรกิจออนไลน์ไปได้สวย ต้องเข้าใจทุก Platform การขาย           ธุรกิจ E-Commerce เติบโตขึ้นมาก ถึงมากที่สุดในปี2020 ยิ่งในช่วงวิกฤตแบบนี้ เพราะช่องทางออนไลน์ไม่ใช่แค่ตลาดเสมือนจริงที่จำลองโลกการซื้อขายไว้บนโลกออนไลน์ แต่เป็นช่องทางหลักอีกช่องทางหนึ่งที่ทำเงินให้ผู้ขายไม่แพ้การขายหน้าร้านเลย เผลอ ๆ มากกว่าด้วยซ้ำค่ะ ทั้งนี้เพราะ การขายออนไลน์ทำให้ผู้ขายเข้าถึงลูกค้ามากขึ้น และการซื้อของออนไลน์ หรือการใช้อินเตอร์เน็ตถือเป็นวิถีชีวิตของคนยุคใหม่ไปแล้ว และแน่นอนว่าทั้งผู้ซื้อและผู้ขายออนไลน์ต้องเคยซื้อขาย หรือเข้าไปในช่องทางต่าง ๆ เหล่านี้ 1. Social Media 2. E-Marketplace และ 3. บน Website ของแบรนด์ แล้วช่องทางไหนเป็นช่องทางที่ดี และเหมาะสมที่สุดในการขายกันแน่ วันนี้เราจะมาหาคำตอบไปพร้อม ๆ กันค่ะ           ตามสถิติแล้วช่องทางการขายที่มีมานาน และเป็นช่องทางแรก ๆ ที่คนลงขายของกันก็คือ Social Media ไม่ว่าจะเป็น Facebook ก็ดี Instagram, Twitter ก็ดี […]