Knowledge Center

Drop Off คืออะไร ตอบโจทย์ร้านค้าออนไลน์ได้อย่างไร 

Drop Off คืออะไร

ปัจจุบันตลาดการซื้อขายออนไลน์เรียกได้ว่า ได้ก้าวมาเป็นช่องทางหลักเลยทีเดียว ดังนั้นการจัดส่งสินค้าจึงถือเป็นหัวใจสำคัญที่จะทำให้ธุรกิจของคุณประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะร้านค้าที่ต้องการความรวดเร็วและความสะดวกสบายในการส่งสินค้า บริการ Drop Off ในโซลูชันที่ตอบโจทย์ร้านค้าออนไลน์ได้เป็นอย่างดี ด้วยรูปแบบการให้บริการที่ยืดหยุ่น ประหยัดเวลาและมีจุดให้บริการมากมายทั่วประเทศ ทำให้ผู้ประกอบการสามารถนำสินค้าไปฝากส่งได้ตามความสะดวก วันนี้ MyCloud จะพาคุณทำความรู้จักกับบริการ Drop Off คืออะไร มีข้อดีอย่างไร แตกต่างจากบริการ Pick Up อย่างไร และเหมาะสำหรับร้านค้าประเภทใดบ้าง เพื่อให้คุณสามารถตัดสินใจเลือกใช้บริการที่เหมาะสมกับธุรกิจของคุณมากที่สุด  

Drop Off คืออะไร

Drop Off คือบริการจัดส่งพัสดุรูปแบบหนึ่งที่ช่วยให้ร้านค้าออนไลน์สามารถนำสินค้าไปฝากส่งยังจุดให้บริการที่กำหนดไว้ได้ด้วยตนเอง โดยไม่จำเป็นต้องรอให้พนักงานขนส่งมารับถึงที่ เพียงแค่นำพัสดุไปฝากที่จุดรับฝาก (Drop Off) ซึ่งอาจเป็นร้านสะดวกซื้อ ตู้รับพัสดุอัตโนมัติหรือสาขาของบริษัทขนส่งต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็น Kerry, J&T Express หรือไปรษณีย์ไทย

ทั้งนี้ บริการ Drop Off ถูกออกแบบมาเพื่อความสะดวกสบายของผู้ใช้บริการ ช่วยให้สามารถฝากส่งพัสดุได้อย่างรวดเร็ว ไม่ต้องรอคิวนานหรือผ่านขั้นตอนที่ยุ่งยาก ทำให้ผู้ขายออนไลน์มีความยืดหยุ่นในการเลือกเวลาและสถานที่ส่งพัสดุได้ตามต้องการ และให้ลูกค้าปลายทางได้รับสินค้าได้อย่างรวดเร็ว   

ส่งพัสดุแบบ Drop Off แตกต่างจาก Pick Up อย่างไร

การส่งพัสดุมีสองรูปแบบหลักที่นิยมใช้กัน คือ Drop Off และ Pick Up โดยทั้งสองรูปแบบมีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน ดังนี้

  • Drop Off คือการที่ผู้ขายนำพัสดุไปส่งเองที่จุดรับฝาก ทำให้ผู้ขายสามารถควบคุมเวลาในการส่งได้เอง ไม่ต้องรอคอย และมักจะรวดเร็วกว่าเมื่อต้องการส่งสินค้าแบบเร่งด่วน 
  • Pick Up คือการนัดหมายให้พนักงานบริษัทขนส่งเข้ามารับพัสดุถึงที่บ้านหรือที่ร้านค้าโดยตรง ช่วยให้ผู้ขายไม่ต้องเดินทางออกไปส่งสินค้าเอง แต่ก็มีข้อจำกัดในเรื่องของเวลานัดหมายที่ไม่ยืดหยุ่น ต้องรอพนักงานมาในช่วงเวลาที่กำหนด และบางครั้งอาจมีการเลื่อนเวลารับพัสดุ 

ข้อดีของส่งพัสดุแบบ Drop Off สำหรับร้านค้าออนไลน์

ร้านค้าออนไลน์จำนวนมากเลือกใช้บริการ Drop Off เนื่องจากมีข้อดีหลายประการ ดังนี้   

มีความยืดหยุ่นสูง 

การส่งพัสดุแบบ Drop Off มีความยืดหยุ่น ด้วยเครือข่ายจุดรับฝากที่กระจายอยู่ใกล้ ๆ คุณ ทำให้ผู้ขายสามารถเลือกจุดส่งที่สะดวกที่สุด ไม่ว่าจะเป็นสาขาที่อยู่ใกล้กับร้านค้าหรือใกล้กับที่อยู่ของลูกค้าในกรณีเร่งด่วน

นอกจากนี้ ผู้ขายยังสามารถจัดการเวลาส่งพัสดุได้ตามความต้องการ ไม่ต้องรอนัดหมายหรือรอพนักงานมารับถึงที่ ทำให้สามารถวางแผนการทำงานและการเดินทางได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยเฉพาะในช่วงเทศกาลหรือช่วงที่มีคำสั่งซื้อจำนวนมาก  

เลือกบริษัทขนส่งได้

ด้วยระบบ Drop Off ผู้ขายออนไลน์จะมีอิสระในการเลือกใช้บริการบริษัทขนส่งที่หลากหลาย สามารถเปรียบเทียบและตัดสินใจเลือกบริษัทที่ตอบโจทย์ความต้องการมากที่สุด ไม่ว่าจะเป็นด้านราคา ความเร็วในการจัดส่ง หรือความครอบคลุมของพื้นที่ให้บริการ

อีกข้อดีหนึ่งคือ เมื่อนำพัสดุไปฝากที่จุด Drop Off ผู้ขายจะได้รับเลขติดตามพัสดุทันที และสามารถแจ้งให้ลูกค้าทราบและติดตามสถานะได้ตลอดเส้นทาง สร้างความมั่นใจให้กับทั้งผู้ขายและผู้ซื้อว่าสินค้าอยู่ในระบบการขนส่งและกำลังเดินทางไปถึงมือลูกค้าแน่นอน   

ประหยัดเวลาให้กาารจัดส่ง

ประหยัดเวลา

การส่งพัสดุแบบ Drop Off ช่วยให้ร้านค้าออนไลน์ประหยัดเวลาได้อย่างมาก เนื่องจากไม่ต้องเสียเวลารอพนักงานขนส่งมารับพัสดุที่ร้าน ซึ่งบางครั้งอาจมีการเลื่อนนัดหรือไม่สามารถระบุเวลาที่แน่นอนได้ ผู้ขายสามารถควบคุมเวลาในการส่งสินค้าได้เอง ด้วยระบบที่ออกแบบมาให้รวดเร็ว ใช้เวลาในการฝากส่งเพียงไม่กี่นาที ไม่ต้องรอคิวนานหรือผ่านขั้นตอนที่ยุ่งยาก ทำให้ผู้ขายมีเวลาไปทำกิจกรรมอื่น ๆ ที่สำคัญ เช่น การพัฒนาสินค้า การทำการตลาดหรือการดูแลลูกค้าซึ่งเป็นสิ่งสำคัญในการเติบโตของธุรกิจออนไลน์  

สะดวกและรวดเร็ว

จุดเด่นอีกประการของบริการ Drop Off คือความสะดวกรวดเร็ว เพราะไม่ต้องรอให้รถขนส่งเข้ามารับของถึงที่ร้าน ทำให้สามารถรองรับกรณีที่ลูกค้าต้องการสินค้าแบบเร่งด่วนได้เป็นอย่างดี ผู้ขายสามารถนำพัสดุไปส่งทันทีที่มีคำสั่งซื้อ หมดปัญหาเรื่องขนส่งไม่เข้ารับพัสดุ ซึ่งจะทำให้ร้านค้าอีคอมเมิร์ซของคุณ ไม่ต้องเสียเกณฑ์คะแนน SLA อีกด้วย    

Drop Off เหมาะสำหรับใครบ้าง?

บริการ Drop Off เหมาะสำหรับผู้ประกอบการหลายกลุ่ม โดยเฉพาะร้านค้าออนไลน์ขนาดเล็กถึงขนาดกลางที่มีปริมาณออเดอร์ไม่มากจนเกินไป และสามารถบริหารจัดการเวลาในการนำสินค้าไปส่งได้ด้วยตนเอง เช่น ร้านค้าใน Social Commerce ผู้ขายบนแพลตฟอร์มขายของออนไลน์ต่าง ๆ หรือผู้ประกอบการที่มีเว็บไซต์ขายสินค้าของตัวเอง (Sale Page)

นอกจากนี้ยังเหมาะกับผู้ที่มีตารางเวลายืดหยุ่น เช่น ฟรีแลนซ์ ผู้ประกอบการรายย่อยหรือผู้ที่ทำธุรกิจเสริมจากงานประจำ ซึ่งสามารถจัดสรรเวลาและเดินทางไปยังจุดรับฝากได้ตามความสะดวก รวมถึงผู้ที่ต้องการประหยัดค่าใช้จ่ายในการจัดส่ง เพราะโดยทั่วไปแล้วการส่งแบบ Drop Off มักมีค่าบริการที่ถูกกว่าการใช้บริการ Pick Up

อย่างไรก็ตาม บริการนี้อาจไม่เหมาะกับธุรกิจที่มีปริมาณพัสดุจำนวนมากที่ต้องจัดส่งเป็นประจำทุกวัน ซึ่งในกรณีนี้ การเลือกใช้คลังสินค้าออนไลน์แบบครบวงจรอย่าง MyCloud Fulfillment อาจเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกว่า เพราะช่วยให้ผู้ประกอบการสามารถมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาธุรกิจ โดยไม่ต้องกังวลกับการจัดการคลังสินค้าและการจัดส่งสินค้า และยังสามารถปรับแต่งบริการให้เหมาะกับธุรกิจของคุณได้ เราให้คุณมากกว่าการเก็บ แพ็กและจัดส่งสินค้า พร้อมระบบการเชื่อมต่อการขาย และฟีเจอร์ส่งเสริมการขาย ให้คุณเติบโตได้โดดเด่นเหนือกว่าคู่แข่ง นอกจากนี้ MyCloud ยังมี Dashboard สรุปข้อมูลร้านค้าเพื่อนำไปวิเคราะห์ในการบริหารจัดการให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด เรียกว่าครบวงจรและคุ้มค่ามาก ๆ 

Drop Off เหมาะสำหรับใครบ้าง

สรุปบทความ 

Drop Off คือบริการจัดส่งพัสดุที่ให้ผู้ขายนำสินค้าไปฝากส่งยังจุดให้บริการด้วยตนเอง ซึ่งมีข้อดีหลายประการสำหรับร้านค้าออนไลน์ ทั้งความยืดหยุ่นในการเลือกเวลาและที่จัดส่ง สามารถเลือกบริษัทขนส่งได้ ทำให้ประหยัดเวลาและมีความสะดวกรวดเร็วในการจัดส่งสินค้า เหมาะสำหรับร้านค้าออนไลน์ขนาดเล็กถึงขนาดกลาง ผู้ประกอบการรายย่อย อย่างไรก็ตาม สำหรับธุรกิจที่มีปริมาณการสั่งซื้อมากหรือต้องการมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาธุรกิจโดยไม่ต้องกังวลกับการขนส่งหรือจัดการโลจิสติกส์ การเลือกใช้บริการจัดการคลังสินค้าและการจัดส่งแบบครบวงจรอาจเป็นทางเลือกที่เหมาะสมกว่า MyCloud Fulfillment ให้บริการที่เหมาะสมกับรูปแบบธุรกิจออนไลน์ในปัจจุบันด้วยบริการ เก็บสินค้า แพ็กสินค้า รวมถึงการส่งออกของออเดอร์ทุกวัน ไม่เว้นวันเสาร์-อาทิตย์ และวันหยุดนักขัตฤกษ์ และที่สำคัญ MyCloud เราเป็นพาร์ทเนอร์กับขนส่งชั้นนำ รถขนส่งจะเข้ามารับออเดอร์ที่คลังทุกวัน ไม่ต้องกลัวเรื่องออเดอร์ตกหล่น สำหรับการส่งสินค้าแบบ Drop Off หรือ Pick Up คุณก็ไม่ต้องกังวลอีกต่อไป เพราะทุกออเดอร์จะถูกจัดการครบทุกขั้นตอนโดยพนักงานมืออาชีพที่ MyCloud Fulfillment ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการดำเนินงาน ลดต้นทุนและสร้างความพึงพอใจให้กับลูกค้า ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญในการเติบโตของธุรกิจออนไลน์ในยุคปัจจุบัน หากสนใจบริการของเราติดต่อเราได้ที่นี่เลยค่ะ คลิกเลย

บทความที่เกี่ยวข้อง

อ่านเพิ่มเติม

คู่มือสำหรับพ่อค้าแม่ค้า ขายของออนไลน์ ต้องจดทะเบียนอะไรบ้าง 

หากพูดถึงการเริ่มต้นธุรกิจออนไลน์ก็คงเป็นเรื่องที่ดูจะง่ายดายใช่ไหมล่ะ แต่จริง ๆ แล้วหลายคนอาจไม่ทราบว่าการขายของออนไลน์นั้นต้องมีการจดทะเบียนตามกฎหมายเช่นเดียวกับการเปิดร้านค้าแบบมีหน้าร้าน เพราะการจดทะเบียนนั้น ไม่เพียงแต่ทำให้ธุรกิจของคุณดำเนินการอย่างถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น แต่ยังช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับลูกค้าและเพิ่มโอกาสทางธุรกิจอีกด้วย ในบทความนี้ MyCloud จะพาคุณไปดูว่า การจดทะเบียนขายของออนไลน์ ตั้งแต่การจดทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มไปจนถึงการจดทะเบียนรับรองคุณภาพสินค้า พร้อมเอกสารที่จำเป็นทั้งสำหรับบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล มีอะไรและมีขั้นตอนอย่างไรบ้าง     ขายของออนไลน์ ต้องจดทะเบียนอะไรบ้าง การขายของออนไลน์ในปัจจุบันนั้นมีขั้นตอนทางกฎหมายที่ผู้ประกอบการต้องดำเนินการเพื่อให้ธุรกิจเป็นไปอย่างถูกต้อง ซึ่งหลัก ๆ แล้ว ต้องจดทะเบียนทั้ง 3 อย่าง ดังนี้  1. จดทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (DBD) สำหรับผู้ขายออนไลน์ที่มีเว็บไซต์เป็นของตัวเอง การจดทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD) ถือว่าเป็นวิธีที่จะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจของคุณได้ เนื่องจากการขายสินค้าออนไลน์ก็เปรียบเสมือนการมีหน้าร้าน จึงต้องมีการจดทะเบียนเช่นเดียวกับร้านค้าทั่วไป แต่จะแตกต่างตรงที่เป็นการจดทะเบียนพาณิชย์แบบอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งไม่เพียงแต่ทำให้ธุรกิจของคุณดำเนินงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น แต่ยังเป็นการยืนยันตัวตนของผู้ประกอบการและสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าว่าธุรกิจของคุณมีตัวตนที่ชัดเจนและน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น  2. จดภาษีมูลค่าเพิ่ม สำหรับร้านค้าออนไลน์ที่มียอดขายเกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี จำเป็นต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มตามที่กฎหมายกำหนด หากธุรกิจของคุณยังไม่ถึงเกณฑ์นี้แต่มีแนวโน้มเติบโตในอนาคต การขยายช่องทางการขายเพิ่มเติมถือเป็นทางเลือกที่จะช่วยให้ธุรกิจของคุณเติบโตไปถึงยอดขายตามเงื่อนไขได้ ซึ่งปกติธุรกิจส่วนใหญ่ก็มักขายผ่าน Marketplace ต่าง ๆ เช่น Shopee, Lazada, TikTok Shop หรือ […]

7 วิธีแพ็คสินค้าฉบับมือโปร ทำอย่างไรให้สินค้าถึงมือลูกค้าอย่างปลอดภัย 

สำหรับพ่อค้าแม่ค้าที่ขายของออนไลน์ หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่สร้างความประทับใจให้กับลูกค้า คือคุณภาพในการจัดส่งสินค้า นอกจากความรวดเร็วแล้ว การแพ็คสินค้าอย่างดีก็จะช่วยปกป้องสินค้าให้ถึงมือผู้รับในสภาพสมบูรณ์ วันนี้เรามีเทคนิคการแพ็คของออนไลน์แบบมืออาชีพมาฝากกัน โดยจะช่วยให้การจัดส่งสินค้าของคุณเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสร้างความประทับใจตั้งแต่ลูกค้าได้รับสินค้าเลย   แพ็คสินค้า ต้องเตรียมอุปกรณ์อะไรบ้าง  ก่อนจะเริ่มแพ็คสินค้า สิ่งสำคัญที่พ่อค้าแม่ค้าต้องเตรียมให้พร้อม คืออุปกรณ์สำหรับแพ็คของ การมีอุปกรณ์ที่ครบครันจะช่วยให้ขั้นตอนการแพ็คสามารถทำได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ โดยอุปกรณ์ที่ควรมีประกอบด้วย  7 วิธีการแพ็คสินค้าให้ถึงมือลูกค้าอย่างปลอดภัย  การแพ็คสินค้าให้ปลอดภัยไม่ใช่เรื่องยาก แต่ต้องใส่ใจในทุกขั้นตอน เพื่อให้มั่นใจว่าสินค้าจะถึงมือลูกค้าในสภาพสมบูรณ์ มาดูวิธีแพ็คของออนไลน์ที่ถูกต้องกันว่าจะมีอะไรบ้าง ดังนี้  1. เลือกขนาดกล่องให้เหมาะสมกับสินค้า ขั้นตอนแรกคือการเลือกบรรจุภัณฑ์หรือกล่องพัสดุให้เหมาะกับประเภทสินค้า เช่น เสื้อผ้าหรือสินค้าที่ทนต่อแรงกระแทกได้ดี สามารถใช้ซองพลาสติกได้ แต่สำหรับสินค้าที่แตกหักง่าย ก็จำเป็นต้องแพ็คสินค้าด้วยกล่องที่มีขนาดพอเหมาะ ไม่ใหญ่จนสินค้าขยับได้ และไม่เล็กเกินไปจนไม่มีพื้นที่ใส่วัสดุกันกระแทก  นอกจากนี้ คุณภาพและวัสดุของกล่องก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน โดยเฉพาะความหนาของกล่องที่ต้องทนทานพอที่จะปกป้องสินค้าจากการโยนของพนักงานขนส่ง หรือแรงกดทับเมื่อถูกวางซ้อนกับกล่องอื่น ๆ ปัจจุบันมีนวัตกรรมการผลิตกล่องใหม่ๆ ที่ช่วยเพิ่มความแข็งแรงโดยไม่เพิ่มน้ำหนักมากนัก ทำให้สามารถปกป้องสินค้าได้ดียิ่งขึ้นตลอดการเดินทางไปถึงมือลูกค้า   2. เลือกกล่องที่ได้คุณภาพ  การเลือกใช้กล่องคุณภาพดีเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาว โดยเฉพาะกล่องลูกฟูกที่มีความหนาและแข็งแรงเป็นพิเศษ เพราะถูกออกแบบมาให้ทนทานต่อการใช้งาน ซึ่งสามารถปกป้องสินค้าด้านใน ลดแรงกระแทกและความเสียระหว่างการขนส่ง เช่น การโยนสินค้า สินค้ามีน้ำหนักที่วางทับกัน เป็นต้น อย่างไรก็ตาม กล่องที่มีคุณภาพก็จะช่วยลดความเสี่ยงที่สินค้าจะเสียหายระหว่างการขนส่งได้   3. ป้องกันสินค้าด้วยวัสดุกันกระแทก การจัดส่งสินค้าให้ปลอดภัยต้องใส่ใจเรื่องการป้องกันการกระแทก […]

10 สัญญาณ! ถึงเวลาที่ธุรกิจของคุณต้องใช้บริการ “Fulfillment”

10 สัญญาณ! ถึงเวลาที่ธุรกิจของคุณต้องใช้บริการ “Fulfillment”           ขายของออนไลน์จำเป็นต้องใช้บริการ Fulfillment เก็บ แพ็ค ส่ง สินค้าด้วยหรอ ทั้ง ๆ ที่ทำเอง หรือจ้างพนักงานเพื่อแพ็คได้? ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจออนไลน์ที่กำลังขายดีสุด ๆ หรือร้านค้าออฟไลน์ที่ต้องการเพิ่มช่องทางการขายทางออนไลน์มากขึ้น เช็คด่วน! ถ้าธุรกิจกำลังเจอปัญหาเหล่านี้ ควรมองหาบริการ Fulfillment ผู้ช่วยอำนวยความสะดวกให้ธุรกิจ E-Commerce ในเรื่องของ พื้นที่จัดเก็บสินค้า (คลังสินค้า) การแพ็คสินค้า และการจัดส่งสินค้า เพื่อรองรับสต๊อกสินค้าเพิ่มขึ้นตามยอดขาย รวมถึงมีออเดอร์ที่ต้องแพ็คและส่งมากขึ้นค่ะ 1. มีปัญหาแพ็คผิด ส่งผิดอยู่บ่อยครั้ง            แพ็คผิด ส่งผิด นอกจากจะทำให้ลูกค้าไม่ประทับใจแล้ว คุณเองต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นมูลค่าสินค้า หรือค่าขนส่งวุ่นวายไปอีก ใช้บริการ Fulfillment ให้ช่วยแพ็ค และจัดส่งและสินค้าให้ ด้วยระบบการหยิบแพ็ค และกล้องวงจรปิด รวมถึงความเชี่ยวชาญของพนักงานที่มีประสบการณ์ มั่นใจได้เลยว่าปัญหาแพ็คสินค้าผิดจะหมดไป มีการการันตีไร้ปัญหาส่งของไม่ทัน […]

คู่มือสำหรับพ่อค้าแม่ค้า ขายของออนไลน์ ต้องจดทะเบียนอะไรบ้าง 

หากพูดถึงการเริ่มต้นธุรกิจออนไลน์ก็คงเป็นเรื่องที่ดูจะง่ายดายใช่ไหมล่ะ แต่จริง ๆ แล้วหลายคนอาจไม่ทราบว่าการขายของออนไลน์นั้นต้องมีการจดทะเบียนตามกฎหมายเช่นเดียวกับการเปิดร้านค้าแบบมีหน้าร้าน เพราะการจดทะเบียนนั้น ไม่เพียงแต่ทำให้ธุรกิจของคุณดำเนินการอย่างถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น แต่ยังช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับลูกค้าและเพิ่มโอกาสทางธุรกิจอีกด้วย ในบทความนี้ MyCloud จะพาคุณไปดูว่า การจดทะเบียนขายของออนไลน์ ตั้งแต่การจดทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ การจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มไปจนถึงการจดทะเบียนรับรองคุณภาพสินค้า พร้อมเอกสารที่จำเป็นทั้งสำหรับบุคคลธรรมดาและนิติบุคคล มีอะไรและมีขั้นตอนอย่างไรบ้าง     ขายของออนไลน์ ต้องจดทะเบียนอะไรบ้าง การขายของออนไลน์ในปัจจุบันนั้นมีขั้นตอนทางกฎหมายที่ผู้ประกอบการต้องดำเนินการเพื่อให้ธุรกิจเป็นไปอย่างถูกต้อง ซึ่งหลัก ๆ แล้ว ต้องจดทะเบียนทั้ง 3 อย่าง ดังนี้  1. จดทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์ (DBD) สำหรับผู้ขายออนไลน์ที่มีเว็บไซต์เป็นของตัวเอง การจดทะเบียนพาณิชย์อิเล็กทรอนิกส์กับกรมพัฒนาธุรกิจการค้า (DBD) ถือว่าเป็นวิธีที่จะช่วยสร้างความน่าเชื่อถือให้กับธุรกิจของคุณได้ เนื่องจากการขายสินค้าออนไลน์ก็เปรียบเสมือนการมีหน้าร้าน จึงต้องมีการจดทะเบียนเช่นเดียวกับร้านค้าทั่วไป แต่จะแตกต่างตรงที่เป็นการจดทะเบียนพาณิชย์แบบอิเล็กทรอนิกส์ ซึ่งไม่เพียงแต่ทำให้ธุรกิจของคุณดำเนินงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายเท่านั้น แต่ยังเป็นการยืนยันตัวตนของผู้ประกอบการและสร้างความมั่นใจให้กับลูกค้าว่าธุรกิจของคุณมีตัวตนที่ชัดเจนและน่าเชื่อถือมากยิ่งขึ้น  2. จดภาษีมูลค่าเพิ่ม สำหรับร้านค้าออนไลน์ที่มียอดขายเกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี จำเป็นต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มตามที่กฎหมายกำหนด หากธุรกิจของคุณยังไม่ถึงเกณฑ์นี้แต่มีแนวโน้มเติบโตในอนาคต การขยายช่องทางการขายเพิ่มเติมถือเป็นทางเลือกที่จะช่วยให้ธุรกิจของคุณเติบโตไปถึงยอดขายตามเงื่อนไขได้ ซึ่งปกติธุรกิจส่วนใหญ่ก็มักขายผ่าน Marketplace ต่าง ๆ เช่น Shopee, Lazada, TikTok Shop หรือ […]

7 วิธีแพ็คสินค้าฉบับมือโปร ทำอย่างไรให้สินค้าถึงมือลูกค้าอย่างปลอดภัย 

สำหรับพ่อค้าแม่ค้าที่ขายของออนไลน์ หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่สร้างความประทับใจให้กับลูกค้า คือคุณภาพในการจัดส่งสินค้า นอกจากความรวดเร็วแล้ว การแพ็คสินค้าอย่างดีก็จะช่วยปกป้องสินค้าให้ถึงมือผู้รับในสภาพสมบูรณ์ วันนี้เรามีเทคนิคการแพ็คของออนไลน์แบบมืออาชีพมาฝากกัน โดยจะช่วยให้การจัดส่งสินค้าของคุณเป็นไปอย่างมีประสิทธิภาพและสร้างความประทับใจตั้งแต่ลูกค้าได้รับสินค้าเลย   แพ็คสินค้า ต้องเตรียมอุปกรณ์อะไรบ้าง  ก่อนจะเริ่มแพ็คสินค้า สิ่งสำคัญที่พ่อค้าแม่ค้าต้องเตรียมให้พร้อม คืออุปกรณ์สำหรับแพ็คของ การมีอุปกรณ์ที่ครบครันจะช่วยให้ขั้นตอนการแพ็คสามารถทำได้อย่างรวดเร็วและมีประสิทธิภาพ โดยอุปกรณ์ที่ควรมีประกอบด้วย  7 วิธีการแพ็คสินค้าให้ถึงมือลูกค้าอย่างปลอดภัย  การแพ็คสินค้าให้ปลอดภัยไม่ใช่เรื่องยาก แต่ต้องใส่ใจในทุกขั้นตอน เพื่อให้มั่นใจว่าสินค้าจะถึงมือลูกค้าในสภาพสมบูรณ์ มาดูวิธีแพ็คของออนไลน์ที่ถูกต้องกันว่าจะมีอะไรบ้าง ดังนี้  1. เลือกขนาดกล่องให้เหมาะสมกับสินค้า ขั้นตอนแรกคือการเลือกบรรจุภัณฑ์หรือกล่องพัสดุให้เหมาะกับประเภทสินค้า เช่น เสื้อผ้าหรือสินค้าที่ทนต่อแรงกระแทกได้ดี สามารถใช้ซองพลาสติกได้ แต่สำหรับสินค้าที่แตกหักง่าย ก็จำเป็นต้องแพ็คสินค้าด้วยกล่องที่มีขนาดพอเหมาะ ไม่ใหญ่จนสินค้าขยับได้ และไม่เล็กเกินไปจนไม่มีพื้นที่ใส่วัสดุกันกระแทก  นอกจากนี้ คุณภาพและวัสดุของกล่องก็มีความสำคัญไม่แพ้กัน โดยเฉพาะความหนาของกล่องที่ต้องทนทานพอที่จะปกป้องสินค้าจากการโยนของพนักงานขนส่ง หรือแรงกดทับเมื่อถูกวางซ้อนกับกล่องอื่น ๆ ปัจจุบันมีนวัตกรรมการผลิตกล่องใหม่ๆ ที่ช่วยเพิ่มความแข็งแรงโดยไม่เพิ่มน้ำหนักมากนัก ทำให้สามารถปกป้องสินค้าได้ดียิ่งขึ้นตลอดการเดินทางไปถึงมือลูกค้า   2. เลือกกล่องที่ได้คุณภาพ  การเลือกใช้กล่องคุณภาพดีเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาว โดยเฉพาะกล่องลูกฟูกที่มีความหนาและแข็งแรงเป็นพิเศษ เพราะถูกออกแบบมาให้ทนทานต่อการใช้งาน ซึ่งสามารถปกป้องสินค้าด้านใน ลดแรงกระแทกและความเสียระหว่างการขนส่ง เช่น การโยนสินค้า สินค้ามีน้ำหนักที่วางทับกัน เป็นต้น อย่างไรก็ตาม กล่องที่มีคุณภาพก็จะช่วยลดความเสี่ยงที่สินค้าจะเสียหายระหว่างการขนส่งได้   3. ป้องกันสินค้าด้วยวัสดุกันกระแทก การจัดส่งสินค้าให้ปลอดภัยต้องใส่ใจเรื่องการป้องกันการกระแทก […]

10 สัญญาณ! ถึงเวลาที่ธุรกิจของคุณต้องใช้บริการ “Fulfillment”

10 สัญญาณ! ถึงเวลาที่ธุรกิจของคุณต้องใช้บริการ “Fulfillment”           ขายของออนไลน์จำเป็นต้องใช้บริการ Fulfillment เก็บ แพ็ค ส่ง สินค้าด้วยหรอ ทั้ง ๆ ที่ทำเอง หรือจ้างพนักงานเพื่อแพ็คได้? ไม่ว่าจะเป็นธุรกิจออนไลน์ที่กำลังขายดีสุด ๆ หรือร้านค้าออฟไลน์ที่ต้องการเพิ่มช่องทางการขายทางออนไลน์มากขึ้น เช็คด่วน! ถ้าธุรกิจกำลังเจอปัญหาเหล่านี้ ควรมองหาบริการ Fulfillment ผู้ช่วยอำนวยความสะดวกให้ธุรกิจ E-Commerce ในเรื่องของ พื้นที่จัดเก็บสินค้า (คลังสินค้า) การแพ็คสินค้า และการจัดส่งสินค้า เพื่อรองรับสต๊อกสินค้าเพิ่มขึ้นตามยอดขาย รวมถึงมีออเดอร์ที่ต้องแพ็คและส่งมากขึ้นค่ะ 1. มีปัญหาแพ็คผิด ส่งผิดอยู่บ่อยครั้ง            แพ็คผิด ส่งผิด นอกจากจะทำให้ลูกค้าไม่ประทับใจแล้ว คุณเองต้องรับผิดชอบค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นไม่ว่าจะเป็นมูลค่าสินค้า หรือค่าขนส่งวุ่นวายไปอีก ใช้บริการ Fulfillment ให้ช่วยแพ็ค และจัดส่งและสินค้าให้ ด้วยระบบการหยิบแพ็ค และกล้องวงจรปิด รวมถึงความเชี่ยวชาญของพนักงานที่มีประสบการณ์ มั่นใจได้เลยว่าปัญหาแพ็คสินค้าผิดจะหมดไป มีการการันตีไร้ปัญหาส่งของไม่ทัน […]