Knowledge Center

ขายของออนไลน์ เสียภาษีอย่างไร? พร้อม 4 วิธีลดต้นทุน ประหยัดภาษีก่อนสิ้นปีนี้!

ขายของออนไลน์ ไม่มีหน้าร้านต้องเสียภาษีหรือไม่ ? ในปัจจุบันมีหลาย ๆ คนเริ่มเป็นพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์กันมากขึ้น โดยช่องทางยอดฮิตก็หนีไม่พ้น TikTok Shop, Lazada และ Shopee แน่นอนค่ะ พอเริ่มมีรายได้มากขึ้น สงสัยกันไหมคะว่าขายบน Marketplace แบบนี้ต้องเสียภาษีหรือไม่ เสียอย่างไร ? MyCloud รวบรวมมาให้ไว้หมดแล้ว พร้อมวิธีการยื่นภาษีไปอ่านกันได้เลยค่ะ  

ไม่ว่าขายออนไลน์ช่องทางใดก็แล้วแต่ ต้องเสียภาษีนะคะ ถึงแม้ว่ายอดของคุณจะไม่ถึง 1,800,000 ต่อปี แต่ยื่นไว้ก่อนก็ไม่เสียหาย ไม่อย่างนั้นอาจโดนสุ่มเรียกย้อนหลังได้ค่ะ แล้วสรรพากรรู้ข้อมูลของเราได้อย่างไร? แน่นอนค่ะว่าผู้ให้บริการทางการเงินของเรา เป็นผู้ส่งให้กับทางสรรพากรโดยจะมีหลักเกณฑ์ คือมีเงินเข้าในบัญชีของเราเกิด 3,000 ครั้งต่อปี/ผู้ให้บริการ โดยผู้ให้บริการทางการเงินไม่ใช่ธนาคารต่าง ๆ แต่นับรวมถึง Lazada Shopee และกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Wallet) ด้วยเช่นกัน หากไม่ถึง 3,000 ครั้งแต่มากกว่า 400 ครั้งต่อปี และมียอดเงินเข้าดังกล่าวรวมแล้วเกิน 2 ล้านบาทขึ้นไปก็โดนส่งข้อมูลให้สรรพากรนะคะ เพราะฉะนั้นยื่นภาษี และเก็บหลักฐานไว้ให้ครบถ้วนสบายใจที่สุดค่ะ  

ขายของออนไลน์ ต้องเสียภาษีแบบไหน? 

ถ้าคุณเป็นแม่ค้าออนไลน์ หรือพ่อค้าขายของผ่าน Facebook, Shopee, TikTok หรือขายผ่านแชตไลน์ แล้วมีรายได้เข้ามาเรื่อย ๆ ต้องรู้ไว้นะคะว่า “ขายของออนไลน์” ก็ต้องเสียภาษีเหมือนกับอาชีพอื่น ๆ เช่นกัน ไม่ใช่ว่าขายผ่านมือถือแล้วหลบภาษีได้ เพราะเดี๋ยวนี้สรรพากรเขาเก่ง ตรวจได้หมดว่าใครขายของอยู่ โดยดูจากยอดเงินเข้า–ออกบัญชี และข้อมูลจากแอปที่คุณใช้งาน โดยผู้ให้บริการทางการเงินของเรา เป็นผู้ส่งให้กับทางสรรพากรโดยจะมีหลักเกณฑ์ คือมีเงินเข้าในบัญชีของเราเกิน 3,000 ครั้งต่อปี/ผู้ให้บริการ ทั้งนี้ยังนับรวมถึง Lazada, Shopee และกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Wallet) ด้วยเช่นกัน หากไม่ถึง 3,000 ครั้ง แต่มากกว่า 400 ครั้งต่อปี และมียอดเงินเข้าดังกล่าวรวมแล้วเกิน 2 ล้านบาทขึ้นไปก็โดนส่งข้อมูลให้สรรพากรนะคะ เพราะฉะนั้นยื่นภาษี และเก็บหลักฐานไว้ให้ครบถ้วนสบายใจที่สุดค่ะ  

หากถามว่า แล้วเปิดร้านจะต้องยื่นภาษีแบบไหน โดยทั่วไป ถ้าคุณขายของออนไลน์ในนามบุคคล แบบไม่ได้จดบริษัท คุณต้องเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาทุกปี ถ้าขายแล้วได้เงินรวมทั้งปีเกิน 60,000 บาท ก็ต้องยื่นภาษีเลย และถ้าใครแต่งงาน มีคู่สมรสจะได้สิทธิ์มากขึ้นเป็น 120,000 บาท หากยิ่งขายดี รายได้เกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี ก็ต้องไปจดภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ด้วย เพื่อเก็บภาษี 7% จากลูกค้า แล้วนำส่งรัฐทุกเดือน

และเดี๋ยวนี้ธนาคารหรือแอปโอนเงินก็จะส่งข้อมูลให้กรมสรรพากรเลยอัตโนมัติ เช่น ถ้ามีเงินเข้าเกิน 400 ครั้ง รวมกันแล้ว 2 ล้านบาทต่อปี หรือโอนเข้าเกิน 3,000 ครั้ง เขาจะตรวจได้ทันทีว่าเรามีรายได้จากการขายของ แล้วมาเช็กภาษีเราอีกทีนั่นเองค่ะ ดังนั้น ใครที่ขายของออนไลน์สม่ำเสมอ แนะนำให้เก็บข้อมูลให้ดี เช่น ใบเสร็จซื้อของ ค่าจ้างแพ็คของ ค่าขนส่งและแยกบัญชีเงินส่วนตัวออกจากบัญชีที่ใช้ขายของ จะได้เห็นรายรับรายจ่ายชัด และคำนวณภาษีง่ายขึ้น และที่สำคัญ อย่าคิดว่าไม่ยื่นแล้วจะไม่มีใครรู้ เพราะถ้าโดนเรียกย้อนหลัง ต้องจ่ายทั้งภาษี เบี้ยปรับและดอกเบี้ยย้อนหลังหลายปีเลย เสียดายเงินเปล่า ๆ ค่ะ 

ขายของออนไลน์ เสียภาษีเท่าไหร่

ถ้าคุณขายของออนไลน์เต็มตัว แล้วรายได้รวมเกิน 60,000 บาทต่อปี ต้องยื่นภาษีปีละครั้งค่ะ โดยรายได้ที่เกินมาจะถูกคำนวณ “เงินได้สุทธิ” ดังนี้ค่ะ

รายได้ – ค่าใช้จ่าย – ค่าลดหย่อนส่วนตัว (60,000 บาท) = เงินได้สุทธิ 

หลังจากได้เงินได้สุทธิมาแล้ว ให้นำไปคิดภาษีตามอัตราแบบขั้นบันไดค่ะ  

ขายของออนไลน์ ต้องยื่นภาษีเมื่อไร  

หากร้านค้าของคุณไม่ได้จดทะเบียนรูปแบบบริษัท ก็จะต้องเสียภาษีรูปแบบเงินได้บุคคลธรรมดา ซึ่งการขายบนช่องทาง Marketplace จะอยู่ในมาตรา 40(8) หรือ เงินได้จากการธุรกิจ การพาณิชย์ การเกษตร การอุตสาหกรรม การขนส่งเงินได้อื่น ๆ ค่ะ โดยช่วงเวลาที่พ่อค้าแม่ค้าต้องยื่นภาษีจะมีอยู่ 2 ช่วงดังนี้ค่ะ

  1. ยื่นภาษีสิ้นปี ในเดือน ม.ค. – มี.ค. เป็นการสรุปรายได้ทั้งหมดที่เกิดขึ้นในช่วงปีที่ผ่านมา
  2. ยืนภาษีกลางปี ในเดือน ก.ค. – ก.ย. เป็นการสรุปรายได้ที่เกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีที่ผ่านมา

วิธีการคำนวณภาษีสำหรับผู้ขายออนไลน์ 

ถ้าคุณขายของออนไลน์แล้วต้องเสียภาษี อย่าเพิ่งตกใจค่ะ เพราะวิธีคำนวณภาษีไม่ได้ยากอย่างที่คิด เราจะอธิบายแบบง่าย ๆ ให้เข้าใจทีละขั้น โดยเฉพาะสำหรับคนที่ขายของในนาม “บุคคลธรรมดา” เช่น แม่ค้า–พ่อค้าออนไลน์ทั่วไปที่ยังไม่ได้จดทะเบียนเป็นบริษัท

  1. รู้ก่อนว่ารายได้รวมเท่าไหร่ ให้คุณรวมรายได้จากการขายของตลอดทั้งปี (มกราคม–ธันวาคม) เช่น ขายของได้เดือนละ 30,000 บาท → รายได้รวมปีละ 360,000 บาท
  2. เลือกหักค่าใช้จ่าย รัฐให้คุณเลือกหักค่าใช้จ่ายได้ 2 แบบ คือ 1. แบบเหมา หักได้ 60% ของรายได้ โดยไม่ต้องมีใบเสร็จ และ 2. แบบจริง ถ้ามีใบเสร็จชัดเจน เช่น ค่าขนส่ง ค่าวัตถุดิบ ก็หักตามจริงได้เลย
  3. หักค่าลดหย่อน รัฐให้หักค่าลดหย่อนส่วนตัวได้อีก 60,000 บาท สำหรับคนโสด หรือมากกว่านี้ถ้ามีคู่สมรส, ลูก, ประกัน ฯลฯ 
  4. คำนวณภาษีตามขั้นบันได นำเงินสุทธิที่ได้มาคิดตามภาษีขั้นบันได 

กรณีรายได้รวมเกิน 1 ล้านบาทต่อปี

ถ้าคุณขายดีมาก ๆ รายได้ทั้งปีเกิน 1 ล้านบาท คุณสามารถเลือกใช้ วิธีลัดอีกแบบหนึ่งได้ คือคิดภาษีแบบเหมาจ่าย 0.5% ของรายได้รวม เช่น 

รายได้รวม 1,200,000 บาท → คูณ 0.5% = เสียภาษี 6,000 บาท

จากนั้นให้เอาภาษีที่คำนวณได้ทั้ง 2 แบบ คือแบบขั้นบันได และแบบ 0.5% มาเปรียบเทียบ แล้วจ่ายตามยอดที่มากกว่าค่ะ

เกณฑ์การเสียภาษีสำหรับธุรกิจออนไลน์

รู้ไว้นะคะว่า ธุรกิจออนไลน์ก็ต้องเสียภาษีเหมือนกับอาชีพอื่น ๆ ไม่ว่าจะขายเยอะ ขายน้อย มีหน้าที่ต้องยื่นภาษีถ้าเข้าเกณฑ์ที่กฎหมายกำหนดไว้ดังนี้ค่ะ

เกณฑ์รายได้ขั้นต่ำที่ต้องเสียภาษี

ถ้าคุณขายของในนามบุคคลธรรมดา (ไม่ได้จดบริษัท) แล้วมีรายได้ต่อปีเกินตามนี้:

  • คนโสด รายได้รวมทั้งปีเกิน 60,000 บาท
  • คนมีคู่สมรส รายได้รวมกันเกิน 120,000 บาท

เมื่อรายได้เกินเกณฑ์นี้ คุณต้องยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ไม่ว่าจะมีค่าใช้จ่ายเยอะหรือกำไรน้อยก็ต้องยื่นค่ะ 

เกณฑ์สำหรับภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) 

หากคุณขายของได้เยอะมาก ๆ จนมีรายได้รวมเกิน 1.8 ล้านบาทต่อปี คุณจะต้องจดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) กับกรมสรรพากร จากนั้นเริ่มเก็บภาษี 7% จากลูกค้า และนำส่งให้สรรพากรทุกเดือน 

กฎหมายรายงานธุรกรรม (ตรวจสอบจากธนาคาร) 

ถึงแม้คุณจะไม่บอกว่าขายของออนไลน์ แต่ถ้ามีเงินโอนเข้าบัญชีเยอะ ๆ หรือถี่มาก ๆ ธนาคารและผู้ให้บริการแอปการเงินต่าง ๆ จะส่งข้อมูลให้สรรพากรโดยอัตโนมัติ เช่น 

  • มีธุรกรรม โอนเข้าบัญชี 3,000 ครั้งขึ้นไป/ปี 
  • หรือมียอดรวมโอนเข้า 400 ครั้งขึ้นไป และมียอดรวมเกิน 2 ล้านบาท/ปี

ถ้าเข้าเกณฑ์เหล่านี้ ก็สามารถใช้เป็นหลักฐานมาตรวจสอบและเรียกให้ชี้แจงหรือยื่นภาษีย้อนหลังได้ค่ะ อย่างไรก็ตาม หากคุณไม่ยื่นภาษี หรือจงใจเลี่ยงภาษี ทั้งที่มีรายได้เข้ามาจริง ๆ ก็จะเกิดผลเสียหลายอย่างที่อาจกระทบหนักในระยะยาว เช่น โดนเรียกเก็บภาษีย้อนหลัง จ่ายเบี้ยปรับและดอกเบี้ยเพิ่ม มีผลต่อการทำธุรกรรมทางการเงินอื่น ๆ ในอนาคต และยังอาจถูกตรวจสอบเข้มงวดขึ้นในอนาคตอีกแน่นอนค่ะ 

สิทธิในการลดหย่อนภาษีสำหรับคนขายของออนไลน์

หลายคนที่ขายของออนไลน์อาจยังไม่รู้ว่า จริง ๆ แล้ว เราสามารถใช้สิทธิลดหย่อนภาษีได้เหมือนกับคนทำงานทั่วไปเลยนะคะ ซึ่งสิทธิเหล่านี้จะช่วยให้เราจ่ายภาษีน้อยลง หรือบางคนอาจไม่ต้องเสียภาษีเลยก็ได้ ถ้าหลังหักค่าลดหย่อนแล้ว เงินได้สุทธิเหลือน้อยกว่าที่กฎหมายกำหนด เช่น

  • ค่าลดหย่อนส่วนตัว
  • ค่าลดหย่อนบุตร
  • ค่าประกันชีวิต
  • เงินสะสมกองทุนต่าง ๆ
  • ดอกเบี้ยบ้าน
  • ค่าบริจาค

ยิ่งคุณใช้สิทธิลดหย่อนได้มาก เงินได้สุทธิก็จะยิ่งน้อยลง และภาษีก็จะยิ่งลดลงตามไปด้วยค่ะ 

4 วิธีลดต้นทุนธุรกิจขายของออนไลน์ 

การทำธุรกิจออนไลน์ในยุคนี้ ไม่ใช่แค่ขายดีอย่างเดียวแล้วจะมีกำไร เพราะ “ต้นทุน” ก็เป็นอีกสิ่งสำคัญที่ต้องจัดการให้ดี ถ้าคุณสามารถลดต้นทุนได้โดยไม่กระทบคุณภาพหรือบริการ นั่นแปลว่ากำไรของคุณจะเพิ่มขึ้นทันที ต่อไปนี้คือ 4 วิธีง่าย ๆ ที่จะช่วยลดต้นทุนให้ธุรกิจออนไลน์ของคุณค่ะ 

1. ใช้บริการคลังสินค้าออนไลน์ 

การมีสต๊อกสินค้าเก็บไว้ที่บ้านหรือเช่าโกดังเอง อาจดูเหมือนประหยัดในช่วงแรก แต่รู้หรือไม่ว่า “ต้นทุนแฝง” อย่าง ค่าเช่า ค่าพนักงาน ค่าน้ำไฟ ค่าแพ็คของ ค่าจัดการออเดอร์ และค่าระบบหลังบ้าน ล้วนเป็นค่าใช้จ่ายที่เพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และบางอย่างก็ยากควบคุม ยิ่งถ้าธุรกิจโตขึ้น ต้นทุนพวกนี้ก็จะขยายตามไปด้วย 

จะดีกว่าไหม? ถ้าคุณเลือกใช้บริการ Fulfillment Service คลังสินค้าออนไลน์แบบครบวงจร ที่ช่วยจัดเก็บ แพ็ค และส่งสินค้าให้คุณเสร็จในที่เดียว โดยคุณจ่ายเฉพาะส่วนที่ใช้จริงเท่านั้น เช่น จ่ายตามจำนวนชิ้นที่จัดส่ง หรือปริมาณพื้นที่จัดเก็บที่ใช้ นอกจากจะช่วยลดต้นทุนและลดภาระด้านแรงงานแล้ว ยังช่วยให้คุณมีเวลาไปโฟกัสกับการขาย การตลาด หรือพัฒนาสินค้าได้มากขึ้น แถมยังดูโปรขึ้นในสายตาลูกค้า เพราะบริการ Fulfillment ส่วนมากจะช่วยดูแลเรื่องการแพ็คให้ดูดี ส่งไวและมีระบบติดตามครบถ้วนอีกด้วย 

ถ้าคุณกำลังมองหาบริการคลังสินค้าที่เชื่อถือได้ MyCloud Fulfillment คือคำตอบที่ช่วยให้คุณลดต้นทุนแบบจ่ายตามใช้จริง ไม่ต้องแบกรับภาระค่าเช่าโกดังเอง เพราะเรามีระบบจัดการคลังสินค้า (WMS) และระบบบริหารจัดการออเดอร์ (OMS) ที่เชื่อมต่อกับทุกช่องทางขายของออนไลน์ ช่วยให้คุณทำงานง่ายขึ้น จัดการได้ครบในที่เดียว ทั้งเก็บ แพ็ค ส่ง จบที่เดียวแบบมือโปร

2. เปรียบเทียบค่าขนส่งทุกครั้งก่อนส่ง

การส่งของแบบสุ่มเลือกเจ้า หรือส่งแพงเกินความจำเป็นโดยไม่รู้ว่าเจ้าไหนให้ราคาประหยัดกว่า ถือเป็นต้นทุนแอบแฝงที่หลายธุรกิจมองข้ามไป แนะนำให้ลองใช้ระบบที่ช่วยเปรียบเทียบค่าขนส่งจากหลาย ๆ บริษัทขนส่งในตลาด พร้อมประเมินความเหมาะสมตามพื้นที่ปลายทางและประเภทสินค้า ระบบเหล่านี้ยังช่วยให้คุณเลือกขนส่งที่ดีที่สุดสำหรับแต่ละออเดอร์ได้ค่ะ เช่น อาจเลือกขนส่งเจ้า A สำหรับพื้นที่ใกล้ และเจ้า B สำหรับพื้นที่ห่างไกล

โดยปัจจุบันมีเครื่องมืออย่าง Shipping Aggregator ที่ช่วยรวมราคาค่าขนส่งของแต่ละเจ้าไว้ในที่เดียว ทำให้คุณสามารถดูราคาจริงแบบเรียลไทม์ เลือกผู้ให้บริการที่ต้นทุนต่ำสุดได้ทันที ช่วยให้ประหยัดค่าใช้จ่ายได้มากขึ้น ซึ่งวิธีนี้ไม่เพียงช่วยลดต้นทุนค่าขนส่งโดยรวมได้มาก แต่ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการจัดส่ง ทำให้พัสดุถึงมือลูกค้าไวขึ้นและลดปัญหาความล่าช้าอีกด้วยค่ะ หากธุรกิจคุณยังคงส่งของด้วยวิธีเดิม ๆ ลองเปิดใจใช้ระบบเปรียบเทียบค่าขนส่งดู แล้วคุณจะเห็นว่าการบริหารจัดการขนส่งที่ดี ก็ถือเป็นอีกหนึ่งกุญแจสำคัญที่ช่วยเพิ่มกำไรและประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้าได้ค่ะ 

3. ควบคุมสต๊อกให้มีประสิทธิภาพ

การควบคุมสต๊อกสินค้าให้ดีเป็นกุญแจสำคัญในการลดสินค้าค้างเก่า และลดต้นทุนที่อาจกลายเป็นทุนจมโดยไม่จำเป็นได้ค่ะ แนะนำลองใช้ระบบ Inventory Management ที่จะช่วยติดตามและอัปเดตสต๊อกสินค้าแบบเรียลไทม์ ทุก ๆ 5 นาที ซึ่งจะช่วยให้คุณวางแผนการสั่งซื้อและจัดการคลังสินค้าได้แม่นยำ ลดความผิดพลาดในการขาย เช่น ขายสินค้าหมดแล้วแต่ยังแสดงว่ามีของในเว็บหรือสั่งซื้อสินค้ามาเกินความจำเป็น

นอกจากนี้ ยังช่วยลดภาระงานคน ลดความซับซ้อนและช่วยให้การทำงานของทีมคล่องตัวขึ้น ทำให้คุณประหยัดเวลาและต้นทุนได้มากขึ้น พร้อมทั้งเพิ่มความพึงพอใจให้กับลูกค้า เพราะมีสินค้าพร้อมส่งอย่างต่อเนื่อง ไม่ต้องเจอปัญหาสินค้าหมดบ่อย ๆ

อีกทางเลือกสำหรับคนที่เพิ่งเริ่มต้น หรือมีทุนจำกัด คือการขายแบบ Dropship ที่ไม่ต้องสต๊อกสินค้าเอง ช่วยลดความเสี่ยงเรื่องต้นทุนและไม่ต้องกังวลเรื่องสินค้าค้าง ทั้งสองวิธีนี้ช่วยให้ธุรกิจคุณบริหารสต๊อกได้อย่างมีประสิทธิภาพ ประหยัดต้นทุนและเพิ่มความคล่องตัวในการทำธุรกิจได้มากขึ้น 

4. เก็บค่าใช้จ่ายให้ครบเพื่อลดหย่อนภาษี

การเก็บรวบรวมและบันทึกค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกับธุรกิจออนไลน์อย่างครบถ้วน เป็นสิ่งสำคัญที่จะช่วยให้คุณลดหย่อนภาษีได้มากขึ้นค่ะ โดยค่าใช้จ่ายที่มักเจอในธุรกิจออนไลน์ เช่น ค่าโฆษณา ค่าขนส่ง ค่าบรรจุภัณฑ์ ค่าจ้างพนักงานแอดมินหรือค่าจ้างคนช่วยแพ็คสินค้า ซึ่งหากคุณมีเอกสารหลักฐาน เช่น ใบเสร็จ หรือบิลเงินสดที่ถูกต้องและครบถ้วน ก็สามารถนำมาใช้เป็นค่าใช้จ่ายในการยื่นภาษีได้ค่ะ 

การจดบันทึกและเก็บเอกสารเหล่านี้อย่างเป็นระบบ จะช่วยให้เวลายื่นภาษีคุณสามารถหักลดหย่อนค่าใช้จ่ายได้เต็มที่ ทำให้เงินได้สุทธิลดลง ภาษีที่ต้องจ่ายก็จะน้อยลงตามไปด้วย นอกจากนี้ยังช่วยลดความยุ่งยากในกรณีที่สรรพากรขอตรวจสอบข้อมูลย้อนหลัง แนะนำให้ตั้งระบบเก็บบิลและใบเสร็จให้เป็นระเบียบ เช่น แยกเป็นโฟลเดอร์ตามประเภทค่าใช้จ่าย หรือใช้แอปช่วยจดบันทึกค่าใช้จ่าย เพื่อความสะดวกและรวดเร็วในการตรวจสอบและยื่นภาษีในแต่ละปีได้อีกด้วยค่ะ  

คำถามที่พบบ่อย (FAQ)

ขายบน Shopee & Lazada เสียภาษีอย่างไร?

เริ่มกันที่ผู้ขายสินค้าออนไลน์บน Shopee ที่ถือว่าสะดวกสบายไม่ต้องหาเอกสารคำนวณภาษีเองให้ยุ่งยาก เหมือนกับการขายเองบนช่องทางออนไลน์อื่น ๆ เพราะสามารถขอใบเสร็จรับเงิน/ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ผ่านทาง e-Tax Web Portal ใน Seller Centre หรือจะเข้าไปเช็กรายละเอียดรายรับทั้งหมดเพื่อเอาไปคำนวณภาษี ก็สามารถเข้าไปที่เมนู “การเงิน” กดเลือก “รายรับของฉัน” และขอ My Tax Invoice ที่จะแสดงอยู่ใต้รายการการเงินของคุณผู้ขายที่หน้าหลังบ้านผู้ขาย Shopee ได้เลยค่ะ ซึ่งผู้ขายเองสามารถดาวน์โหลดรายงานการเงินดังกล่าวเป็นไฟล์ PDF เพื่อส่งเป็นเอกสารให้สรรพกรตรวจสอบได้ง่ายอีกด้วย  

การขอใบกำกับภาษี/ใบเสร็จรับเงิน บน Shopee

ผู้ขายบน Shopee สามารถขอใบเสร็จรับเงิน ใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์แบบย่อ หรือแบบเต็มรูปผ่านทาง e-Tax Web Portal ที่หน้าหลังบ้าน Seller Centre ได้ตามที่กล่าวมาข้างต้นค่ะ แต่ทาง Shopee จะสงวนสิทธิ์การออกใบกำกับภาษี หรือใบเสร็จรับเงินให้แค่ภายใน 15 วันนับจากวันที่เกิดรายการการสั่งซื้อชำระเงินขึ้น โดยผู้ที่ขอใบกำกับภาษีต้องทำการลงทะเบียนเพื่อดาวน์โหลดใบกำกับภาษีอิเล็กทรอนิกส์ทั้งสองแบบ (เต็มและย่อ) และต้องตรวจสอบให้แน่ใจว่าสถานะการลงทะเบียนขึ้นเป็น “ตรวจสอบแล้ว” ซึ่งส่วนมากจะได้ภายใน 3 – 7 วันค่ะ โดยในหน้าลงทะเบียน ผู้ขายสามารถเพิ่มที่อยู่สำหรับการออกใบกำกับภาษี และที่อยู่ในการกรอกใบกำกับภาษีได้ที่หน้าดังกล่าวค่ะ  

“วันที่มีผลบังคับใช้”

กรณีที่ร้านค้าไม่ได้จดทะเบียน VAT บุคคลธรรมดาให้ระบุ “วันที่มีผลบังคับใช้” หรือ วันที่เอกสารดังมีผลบังคับใช้ในการนําข้อมูลมาออกใบเสร็จรับเงินและใบกํากับภาษี ให้ระบุเป็นวันที่ออกบัตรประจำตัวประชาชน ส่วนนิติบุคคล ให้ระบุวันที่หนังสือรับรองบริษัท ส่วนร้านค้าที่ทำการจดทะเบียน ยึดตามวันที่ออก ภ.พ. 20 ฉบับล่าสุดแทนค่ะ หลังจากนั้นให้กรอกข้อมูลตามที่ Shopee ระบุและกดยืนยันข้อมูล และรอตรวจสอบผลตามที่กล่าวมาก่อนหน้านี้ได้เลยค่ะ โดยสถานะจะมีทั้งหมด 3 แบบคือ

  1. กําลังตรวจสอบ หมายถึงเอกสารของคุณอยู่ระหวางการตรวจสอบจากทาง Shopee
  2. ตรวจสอบแล้ว หากข้อมูลของคุณไม่มีข้อผิดพลาดก็สามารถดาวน์โหลดเอกสารและยื่นภาษีต่อไปได้เลย
  3. ไม่ผ่านการตรวจสอบ หากไม่ผ่านสามารถตรวจสอบว่าข้อมูลของคุณผิดพลาดตรงไหน ได้ที่ช่องหมายเหตุ

          สำหรับผู้ขายบน Lazada สามารถยื่นภาษีแบบเดียวกับ Shopee แต่จะมีขั้นตอนการเก็บยอด หรือคำนวณที่ยุ่งยากกว่านิดนึงนะคะ เพราะทาง Lazada จะไม่มีรายงานยอดตามช่วงเวลา ดังนั้นทางที่ง่ายที่สุดคือ การคำนวณจากยอดขายจริง ๆ แบบยังไม่หักอะไร หรือรายได้ตามจริงซึ่งก็คือ ค่าสินค้า+ค่าขนส่ง จะสามารถนำไปคำนวณได้ง่ายกว่า  

ขายหลายช่องทางทำอย่างไร?

สำหรับผู้ที่ขายหลายช่องทาง เวลาคำนวณภาษีต้องนำยอดขายมารวมกันนะคะ สำหรับการยื่นภาษีจะมี 2 รูปแบบ คือ 1. หักค่าใช้จ่ายตามจริง ซึ่งหากจะเสียตามจริง ผู้ขายก็ต้องเก็บเอกสาร หรือหลักฐานเพื่อแสดงข้อมูลให้ครบ สามารถให้สรรพากรตรวจสอบได้ ซึ่งหากไม่มีก็สามารถยื่นแบบที่ 2 คือ 2. แบบหักแบบเหมาอัตรา ค่าใช้จ่ายสูงสุดได้ที่ 60% แล้วแต่ประเภทเงินได้ ซึ่งจะหัก 60% ต่อยอดการยื่นนั้น ๆ ค่ะ

โค้ดหรือคูปองส่วนลดต่าง ๆ ที่ใช้งานบน Marketplace ต้องนำยอดดังกล่าวมาเป็นรายได้ (ค่าส่งเสริมการขาย) เพราะจะมีภาษีถูกหัก ณ ที่จ่าย และผู้ขายต้องขอเอกสารการถูกหัก ภาษี ณ ที่จ่ายจาก Marketplace ต่าง ๆ ดังนี้ 

“หักภาษี ณ ที่จ่าย”

ผู้ประกอบการ หรือผู้ขายมีหน้าที่ต้องออกใบเสร็จรับเงิน หรือใบกำกับภาษีให้ผู้ซื้ออยู่แล้ว แต่เมื่อขายบน Marketplace เรามีค่าธรรมเนียม หรือค่าบริการอื่น ๆ ที่ต้องจ่าย ซึ่งถือเป็นการจ่ายค่าบริการที่ทาง Lazada Shopee บริการให้เรา ดังนั้นเราต้องหักภาษี ณ ที่จ่าย และกรอก หนังสือรับรองหักภาษี ณ ที่จ่ายบน Marketplace เอาไว้ค่ะ เพื่อที่จะได้นำไปคำนวณเพื่อภาษีรายได้นิติบุคคลต่อไปค่ะ

รับการคืนเงินหักภาษี ณ ที่จ่าย ได้อย่างไร? 

บนช่องทาง Marketplace ผู้ขายจะได้รับเงินภาษีหัก ณ ที่จ่าย แบ่งเป็น 2 แบบ คือ 1. ภาษีหัก ณ ที่จ่ายของค่าขนส่ง (Shipping fee) และ 2. ภาษีหัก ณ ที่จ่ายของค่าบริการ (Service fee) โดยร้านค้าบน Shopee จะได้เงินคืนได้ทาง Seller Balance โดยเข้าไปเช็ครายการโอนเงินคืนได้ที่ Seller Centre และสำหรับผู้ขายบน Lazada ผู้ขายต้องคำนวณหัก ณ ที่จ่าย และยื่นสรรพากร จากนั้นส่งใบเสร็จให้ Lazada เพื่อคืนเงินให้ต่อไปค่ะ

สรุปบทความ 

ในปัจจุบันการคำนวณภาษีไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป ถึงแม้จะดูเยอะและวุ่นวาย แต่ก็มีโปรแกรมหรือแอปพลิเคชันต่าง ๆ ที่ช่วยในการคำนวณภาษีอยู่มากมายค่ะ ทั้งนี้ MyCloud เคยรวบรวมวิธีคำนวณภาษีเอาไว้ให้แล้วใน ขายของออนไลน์ต้องเสียภาษีด้วยหรือ!? แล้วต้องคำนวณอย่างไร? สำหรับผู้ขายออนไลน์โดยเฉพาะเลยค่ะ นอกจากนี้การยื่นภาษีออนไลน์ก็ทำได้ง่ายขึ้นสะดวกสบายขึ้น ผู้ขายสินค้าออนไลน์ที่พึ่งเริ่มต้นขายใหม่ ก็ไม่ต้องกังวลเรื่องภาษีมากนักเพราะทาง Lazada หรือ Shopee มีข้อมูลให้ศึกษาสำหรับผู้ขายอย่างละเอียดเลยล่ะค่ะ นอกจากนี้ยังมีกลุ่มผู้ขายบน Lazada หรือ Shopee หรือเพื่อน ๆ ผู้ขายในกลุ่มช่วยให้คำตอบ และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นในกลุ่มกันมากมาย การขายออนไลน์ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไปในยุคที่ E-Commerce เติบโตขึ้นอย่างมากแบบนี้ หากคุณไม่เริ่มตอนนี้ ระวังจะตามไม่ทันรถไฟความเร็วสูงขบวนนี้ไม่ทันนะคะ

บทความที่เกี่ยวข้อง

อ่านเพิ่มเติม

การทำธุรกิจแบบ B2C B2B และ B2B2C ต่างกันยังไง?

การทำธุรกิจแบบ B2C B2B และ B2B2C ปัจจุบันนี้ธุรกิจส่วนใหญ่นั้นมักจะเจาะกลุ่มตลาดออนไลน์ และให้ความสำคัญกับธุรกิจ E-commerce มากยิ่งขึ้น ทำให้เกิดการเปลี่ยนรูปแบบในการทำธุรกิจ จากเดิมที่มักจะเห็นธุรกิจแบบ B2C จนชินตา เปลี่ยนมาเป็น ธุรกิจแบบ B2B และ B2B2C เรามาทำความรู้จักธุรกิจทั้งสามแบบ ว่าคืออะไร เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร ? กันดีกว่าครับ        B2C คืออะไร B2C หรือ Business-to-Customer คือธุรกิจที่ขายสินค้าหรือบริการระหว่างเจ้าของธุรกิจ(B) และผู้บริโภครายบุคคล(C) เป็นประเภทธุรกิจ E-commerce ที่มีความสัมพันธ์ระยะสั้นระหว่างเจ้าของธุรกิจและผู้ซื้อโดยตรง ซึ่งปัจจุบันธุรกิจประเภทนี้ได้รับการพัฒนาขึ้นอย่างมาก เนื่องจากมีการเข้าถึงระบบออนไลน์ และเว็บไซต์ได้ง่าย ตัวอย่างธุรกิจ B2C ได้แก่ประเภทสินค้า เช่น อาหาร, เสื้อผ้า และ ประเภทบริการ เช่น สายการบิน, โรงแรม เป็นต้น B2B คืออะไร B2B หรือ Business-to-Business คือการทำการค้าระหว่างธุรกิจทำกับธุรกิจด้วยกัน โดยมีจุดประสงค์เพื่อ ตอบสนองความต้องการทางธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นด้านวัตถุดิบ การผลิตสินค้า […]

ลูกค้าเก่า เอาใจยังไง? เทคนิคง่ายๆให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ

ลูกค้าใหม่อาจเพิ่มยอดได้ไว แต่ถ้าหวังให้ธุรกิจไปได้ไกล ต้องอาศัย “ลูกค้าเก่า” ที่พร้อมกลับมาซื้อซ้ำอย่างต่อเนื่อง แต่ปัญหาคือ…ลูกค้าเก่าไม่ได้กลับมาเองเสมอไป ถ้าเราไม่ใส่ใจ ไม่กระตุ้น หรือไม่มีอะไรใหม่ๆ ให้เขารู้สึกว่า “คุณยังต้องการฉันอยู่” บทความนี้จะพาคุณรู้วิธีเอาใจลูกค้าเก่าแบบไม่ต้องขายตรง แต่อยู่ตรงใจ พร้อมเทคนิคทำให้ ลูกค้าประจำ เพิ่มขึ้น และยอดขายไม่หล่นหายหลังจากปิดดีลแรก ทำไม ลูกค้าเก่า สำคัญกว่าที่คิด? การได้ลูกค้าใหม่ 1 คนมีต้นทุนสูงกว่าการรักษา ลูกค้าเก่า ถึง 5–7 เท่า ทั้งจากค่าโฆษณา แรงสร้างความน่าเชื่อถือ และเวลาที่ใช้ในการปิดการขาย ในขณะที่ลูกค้าเก่ารู้จักแบรนด์อยู่แล้ว รู้ว่าคุณขายอะไร มีประสบการณ์การใช้งานจริง และสามารถตัดสินใจซื้อซ้ำได้เร็วขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น ลูกค้าเก่าที่พอใจยังเป็นกระบอกเสียงให้แบรนด์ ช่วยบอกต่อหรือแนะนำให้เพื่อนซื้ออีกทางหนึ่งโดยที่คุณไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเลย ลูกค้าเก่าอยากได้อะไร? ลูกค้าเก่ามักมองหาสิ่งพิเศษบางอย่างที่จะทำให้พวกเขารู้สึกว่า “ฉันสำคัญ” ไม่ว่าจะเป็น โปรซื้อซ้ำ ที่เฉพาะเจาะจงกับประวัติการสั่งซื้อ, สิทธิพิเศษจากการเป็นสมาชิก หรือแม้แต่ของแถมเล็กๆ ที่ทำให้รู้ว่าคุณใส่ใจ หากคุณเป็นคนที่ขายของออนไลน์ทาง Marketplace อย่าง Shopee, Lazada หรือ TikTok อยู่แล้วก็อาจจะรู้ดีว่าแพลตฟอร์มเหล่านี้จะมีฟีเจอร์การตลาดที่สามารถทำระบบสมาชิกได้แต่ข้อจำกัดที่เป็นผลเสียต่อแบรนด์เองนั้นก็คือ แพลตฟอร์มจะไม่อนุญาตให้นำส่งข้อมูลลูกค้าเหล่านี้ไม่ว่าจะเป็น […]

การทำธุรกิจแบบ B2C B2B และ B2B2C ต่างกันยังไง?

การทำธุรกิจแบบ B2C B2B และ B2B2C ปัจจุบันนี้ธุรกิจส่วนใหญ่นั้นมักจะเจาะกลุ่มตลาดออนไลน์ และให้ความสำคัญกับธุรกิจ E-commerce มากยิ่งขึ้น ทำให้เกิดการเปลี่ยนรูปแบบในการทำธุรกิจ จากเดิมที่มักจะเห็นธุรกิจแบบ B2C จนชินตา เปลี่ยนมาเป็น ธุรกิจแบบ B2B และ B2B2C เรามาทำความรู้จักธุรกิจทั้งสามแบบ ว่าคืออะไร เหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร ? กันดีกว่าครับ        B2C คืออะไร B2C หรือ Business-to-Customer คือธุรกิจที่ขายสินค้าหรือบริการระหว่างเจ้าของธุรกิจ(B) และผู้บริโภครายบุคคล(C) เป็นประเภทธุรกิจ E-commerce ที่มีความสัมพันธ์ระยะสั้นระหว่างเจ้าของธุรกิจและผู้ซื้อโดยตรง ซึ่งปัจจุบันธุรกิจประเภทนี้ได้รับการพัฒนาขึ้นอย่างมาก เนื่องจากมีการเข้าถึงระบบออนไลน์ และเว็บไซต์ได้ง่าย ตัวอย่างธุรกิจ B2C ได้แก่ประเภทสินค้า เช่น อาหาร, เสื้อผ้า และ ประเภทบริการ เช่น สายการบิน, โรงแรม เป็นต้น B2B คืออะไร B2B หรือ Business-to-Business คือการทำการค้าระหว่างธุรกิจทำกับธุรกิจด้วยกัน โดยมีจุดประสงค์เพื่อ ตอบสนองความต้องการทางธุรกิจ ไม่ว่าจะเป็นด้านวัตถุดิบ การผลิตสินค้า […]

ลูกค้าเก่า เอาใจยังไง? เทคนิคง่ายๆให้ลูกค้ากลับมาซื้อซ้ำ

ลูกค้าใหม่อาจเพิ่มยอดได้ไว แต่ถ้าหวังให้ธุรกิจไปได้ไกล ต้องอาศัย “ลูกค้าเก่า” ที่พร้อมกลับมาซื้อซ้ำอย่างต่อเนื่อง แต่ปัญหาคือ…ลูกค้าเก่าไม่ได้กลับมาเองเสมอไป ถ้าเราไม่ใส่ใจ ไม่กระตุ้น หรือไม่มีอะไรใหม่ๆ ให้เขารู้สึกว่า “คุณยังต้องการฉันอยู่” บทความนี้จะพาคุณรู้วิธีเอาใจลูกค้าเก่าแบบไม่ต้องขายตรง แต่อยู่ตรงใจ พร้อมเทคนิคทำให้ ลูกค้าประจำ เพิ่มขึ้น และยอดขายไม่หล่นหายหลังจากปิดดีลแรก ทำไม ลูกค้าเก่า สำคัญกว่าที่คิด? การได้ลูกค้าใหม่ 1 คนมีต้นทุนสูงกว่าการรักษา ลูกค้าเก่า ถึง 5–7 เท่า ทั้งจากค่าโฆษณา แรงสร้างความน่าเชื่อถือ และเวลาที่ใช้ในการปิดการขาย ในขณะที่ลูกค้าเก่ารู้จักแบรนด์อยู่แล้ว รู้ว่าคุณขายอะไร มีประสบการณ์การใช้งานจริง และสามารถตัดสินใจซื้อซ้ำได้เร็วขึ้น ยิ่งไปกว่านั้น ลูกค้าเก่าที่พอใจยังเป็นกระบอกเสียงให้แบรนด์ ช่วยบอกต่อหรือแนะนำให้เพื่อนซื้ออีกทางหนึ่งโดยที่คุณไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเลย ลูกค้าเก่าอยากได้อะไร? ลูกค้าเก่ามักมองหาสิ่งพิเศษบางอย่างที่จะทำให้พวกเขารู้สึกว่า “ฉันสำคัญ” ไม่ว่าจะเป็น โปรซื้อซ้ำ ที่เฉพาะเจาะจงกับประวัติการสั่งซื้อ, สิทธิพิเศษจากการเป็นสมาชิก หรือแม้แต่ของแถมเล็กๆ ที่ทำให้รู้ว่าคุณใส่ใจ หากคุณเป็นคนที่ขายของออนไลน์ทาง Marketplace อย่าง Shopee, Lazada หรือ TikTok อยู่แล้วก็อาจจะรู้ดีว่าแพลตฟอร์มเหล่านี้จะมีฟีเจอร์การตลาดที่สามารถทำระบบสมาชิกได้แต่ข้อจำกัดที่เป็นผลเสียต่อแบรนด์เองนั้นก็คือ แพลตฟอร์มจะไม่อนุญาตให้นำส่งข้อมูลลูกค้าเหล่านี้ไม่ว่าจะเป็น […]