Knowledge Center

แม่ค้าออนไลน์ต้องรู้! ขายของใน tiktok ส่งของยังไง ทำตามได้ง่าย ๆ

ขายของใน tiktok ส่งของยังไง

ปฏิเสธไม่ได้ว่า TikTok Shop กลายเป็นช่องทาง Marketplace ที่สำคัญของพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ยุคนี้ ด้วยฐานผู้ใช้ขนาดใหญ่และฟีเจอร์ที่เอื้อต่อการขาย แต่พอออเดอร์เข้ามา คำถามยอดฮิตที่ตามมาติด ๆ ก็คือขายของใน TikTok ส่งของยังไง ทำอย่างไรให้ลูกค้าประทับใจและร้านค้าไม่สะดุด เพราะการจัดการเรื่องการจัดส่งถือเป็นหัวใจสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อประสบการณ์ของลูกค้าและความน่าเชื่อถือของร้านค้า บทความนี้ MyCloud Fulfillment จะพาไปเจาะลึกทุกขั้นตอนการส่งของใน TikTok Shop พร้อมเคล็ดลับให้การจัดการออเดอร์ของคุณราบรื่น ไม่มีสะดุดกัน! 

ขายของใน TikTok ส่งของยังไง

เมื่อได้รับคำสั่งซื้อที่ชำระเงินเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการจัดส่งสินค้า ซึ่งคำถามว่า ขายของใน TikTok ส่งของยังไงนั้น มีคำตอบหลัก ๆ อยู่ 2 วิธีตามที่ TikTok Shop กำหนดไว้ให้ผู้ขายเลือกใช้ตามความสะดวกและลักษณะของร้านค้า ได้แก่ การจัดส่งผ่านแพลตฟอร์ม (Ship via Platform) และการจัดส่งโดยผู้ขาย (Ship by Seller) ซึ่งแต่ละวิธีก็มีรายละเอียดและขั้นตอนแตกต่างกันไป มาดูกันดีกว่าว่า ร้านค้าของคุณเหมาะกับวิธีไหน ดังนี้  

จัดส่งผ่านแพลตฟอร์ม 

สำหรับการจัดส่งผ่านแพลตฟอร์มนั้น ร้านค้าที่เลือกขั้นตอนการจัดส่งผ่านแพลตฟอร์ม ก็สามารถสร้างใบปะหน้าและติดตามสถานะทำได้ง่ายผ่าน Seller Center โดยตรง เหมาะสำหรับร้านค้าทั่วไปที่ขายสินค้าขนาดมาตรฐาน หรือแม้แต่ร้านที่อาจมีสินค้าขนาดใหญ่ หากเปิดตัวเลือกขนส่ง Bulky ไว้ 

ขั้นตอนการจัดส่งผ่านแพลตฟอร์ม

  1. ตั้งค่าเริ่มต้น (ครั้งแรก/เมื่อต้องการเปลี่ยน) ใน Seller Center เข้าไปที่การตั้งค่าการดำเนินการตามคำสั่งซื้อ เพื่อเลือกว่าจะให้ขนส่งมารับ (Pickup) หรือนำไปส่งที่จุดบริการ (Drop-off) รวมถึงตั้งค่าที่อยู่คลังสินค้าให้ถูกต้อง
  2. ตรวจสอบการตั้งค่า เช็กว่าได้เปิดตัวเลือกการจัดส่งแบบ Standard และ Bulky หรือไม่ แต่จะแนะนำให้เปิดทั้งคู่ และที่สำคัญคือกรอกน้ำหนักและขนาดพัสดุให้ถูกต้องพร้อมหน่วย เพื่อป้องกันค่าส่งที่คลาดเคลื่อน
  3. จัดการคำสั่งซื้อ เมื่อมีออเดอร์เข้ามาในสถานะ “ที่จะจัดส่ง” ให้เข้าไปที่ จัดการคำสั่งซื้อ
  4. เลือกและนัดหมาย เลือกคำสั่งซื้อที่ต้องการ โดยให้เลือกทีละรายการหรือเลือกทั้งหมดสูงสุด 600 รายการ โดยต้องกด “เลือกคำสั่งซื้อทั้งหมด XXX รายการ” แล้วคลิกนัดหมายการจัดส่ง
  5. พิมพ์ใบปะหน้าพัสดุ ระบบจะสร้างฉลากการจัดส่งและเอกสารอื่น ๆ ให้ เลือกขนาดและรูปแบบที่ต้องการ แล้วพิมพ์ออกมาแปะหน้ากล่อง แต่แนะนำให้ดาวน์โหลดไฟล์เก็บไว้เป็นหลักฐานด้วย 
  6. ส่งมอบพัสดุ นำพัสดุไปส่งที่จุด Drop-off หรือรอขนส่งเข้ามารับตามที่ตั้งค่าไว้ เมื่อขนส่งสแกนพัสดุ สถานะจะอัปเดตเป็น “เข้ารับพัสดุแล้ว” อัตโนมัติ

สำหรับวิธีการจัดส่งนี้ ทางร้านค้าจำเป็นต้องดำเนินการนัดหมายและส่งมอบให้ขนส่งภายในเวลาที่ทางแพลตฟอร์มกำหนด เพื่อเพิ่มคะแนน Fast Fulfillment Rate (FFR) ตามข้อกำหนด SLA ที่ทาง TikTok Shop กำหนดไว้ และเพื่อเพิ่มการมองเห็นให้ร้านของคุณด้วยเช่นกัน

แพ็คสินค้า

จัดส่งโดยผู้ขาย 

วิธีนี้เหมาะสำหรับ TikTok Shop Seller ที่ต้องการจัดการเรื่องขนส่งเองทั้งหมด อาจมีดีลพิเศษกับขนส่งเจ้าประจำหรือขายสินค้าที่ต้องการการดูแลเป็นพิเศษ แต่ก็ต้องรับผิดชอบในการอัปเดตข้อมูลเข้าระบบ Seller Center ด้วยตนเอง

ขั้นตอนการจัดส่งโดยผู้ขาย 

  1. ดาวน์โหลดข้อมูลคำสั่งซื้อ ใน Seller Center ไปที่ จัดการคำสั่งซื้อ > เตรียมจัดส่ง > ส่งออกคำสั่งซื้อ เพื่อดาวน์โหลดไฟล์ Excel ที่มีรายละเอียดออเดอร์และข้อมูลลูกค้า
  2. แพ็คและจัดส่งเอง จัดเตรียมสินค้า แพ็คลงกล่องและติดต่อประสานงานกับบริษัทขนส่งที่เลือกใช้เอง เพื่อนัดหมายเข้ารับหรือนำไปส่ง
  3. อัปโหลดข้อมูลการติดตาม ขั้นตอนนี้สำคัญมาก! โดยหลังจากส่งสินค้าแล้ว ต้องกลับมาที่ Seller Center เพื่อกรอกข้อมูลการจัดส่ง โดยสามารถทำได้ 2 แบบ ดังนี้
    • อัปโหลดเป็นชุด ดาวน์โหลดเทมเพลต กรอกข้อมูล “ชื่อผู้ให้บริการขนส่ง” และ “หมายเลขการติดตาม” ให้ครบถ้วน แล้วอัปโหลดไฟล์เข้าระบบ
    • อัปโหลดทีละรายการ เลือกคำสั่งซื้อ แล้วคลิก “เพิ่มข้อมูลการติดตามพัสดุ” เพื่อกรอกข้อมูลโดยตรง จากนั้นกดยืนยัน “ส่งพัสดุ
  4. อัปเดตสถานะการจัดส่ง ขั้นตอนนี้ก็สำคัญมากเช่นกัน เมื่อทราบว่าสินค้าส่งถึงลูกค้าแล้ว หรือส่งไม่สำเร็จ ต้องเข้ามาอัปเดตสถานะใน Seller Center อีกครั้ง สามารถทำได้ทั้งแบบอัปโหลดเป็นชุด (ใช้เทมเพลตสถานะการส่งมอบ) หรืออัปเดตทีละรายการ โดยเลือกสถานะและแนบหลักฐาน (ถ้ามี) แล้วกดยืนยัน

ปัญหาที่อาจพบได้ในการจัดส่งสินค้าถึงลูกค้าปลายทาง มีอะไรบ้าง

ไม่ว่าจะส่งของด้วยวิธีไหนก็ตาม ปัญหาในการจัดส่งก็ยังสามารถเกิดขึ้นได้เสมอ ซึ่งส่งผลกระทบต่อทั้งความพึงพอใจของลูกค้าและชื่อเสียงของร้านค้า ปัญหาที่พบบ่อย ได้แก่

  • การจัดส่งล่าช้า เกิดจากการจัดการออเดอร์ไม่ทันตามกำหนด SLA ปัญหาภายในของขนส่งหรือการแพ็คสินค้าไม่ทันจนทำให้ลูกค้าปลายทางไม่ได้รับสินค้าตามเวลาที่ระบุไว้ 
  • สินค้าเสียหายระหว่างขนส่ง บรรจุภัณฑ์ไม่แข็งแรงพอ การแพ็คไม่แน่นหนาพอที่จะปกป้องสินค้าได้
  • สินค้าสูญหาย อาจเกิดจากความผิดพลาดของขนส่ง หรือข้อมูลที่อยู่ไม่ชัดเจน
  • ข้อมูล Tracking ไม่อัปเดต โดยเฉพาะกับการจัดส่งโดยผู้ขาย หากร้านค้าลืมหรืออัปเดตข้อมูลเข้าระบบล่าช้า ลูกค้าจะไม่สามารถติดตามสถานะได้ ทำให้เกิดความกังวลขึ้นได้ 
  • ที่อยู่ไม่ถูกต้อง/ติดต่อผู้รับไม่ได้ ทำให้ขนส่งไม่สามารถนำส่งพัสดุได้
  • การจัดการสต๊อกผิดพลาด สินค้าหมดสต๊อกแต่ยังเปิดขาย ทำให้ไม่สามารถจัดส่งได้ตามคำสั่งซื้อ
  • ความยุ่งยากในการจัดการออเดอร์จำนวนมาก เมื่อร้านเติบโต การแพ็คและส่งของเองกลายเป็นเรื่องที่ใช้เวลาและแรงงานมหาศาล เพิ่มโอกาสในการเกิดข้อผิดพลาดได้ 

ทั้งนี้ การเผชิญกับปัญหาเหล่านี้บ่อยครั้งอาจทำให้ร้านค้าเสียคะแนน หรือขาดความเชื่อมั่นจากลูกค้าได้ แต่หากคุณใช้บริการ Fulfillment Service จาก MyCloud ปัญหาเหล่านี้จะกลายเป็นเรื่องง่าย หมดกังวลเรื่องการจัดการหลังบ้านไปได้เลย เราสามารถจัดการออเดอร์ให้จัดส่งภายใน 24 ชม. การันตีจัดส่งทัน 99.5% ด้วยระบบ OMS (Order Management System) ที่ช่วยจัดการได้อย่างครอบคลุมตั้งแต่ลูกค้ากดสั่งซื้อสินค้าเข้ามาและระบบจะดึงออเดอร์ทุก ๆ 3 นาที อัปเดตไปยังคลังสินค้าเพื่อทำการแพ็ก หมดปัญหาเรื่องส่งสินค้าผิดให้ลูกค้า เพราะที่ MyCloud เราใช้ระบบ Barcode ให้การทำงานทุก ๆ ขั้นตอน สแกนสินค้าทุกชิ้นตามคำสั่งซื้อ หมดกังวลเรื่องส่งสินค้าไม่ครบได้อีกเช่นกัน และเพิ่มความมั่นใจได้อีกขั้น ด้วยระบบกล้องวงจรปิด CCTV ที่จะบันทึกการทำงานตั้งแต่ขั้นตอนแรกของการแพ็คสินค้า หากเกิดปัญหาลูกค้าปลายทางได้รับสินค้าไม่ครบ หรือส่งสินค้าผิด ร้านค้าก็สามารถตรวจสอบย้อนหลังได้ทีละออเดอร์ ผ่านคลิปหลักฐานวิดีโอการแพ็คได้ รับรองว่าสินค้าจะถึงมือลูกค้าอย่างปลอดภัยและยังมีทีมงานหลังบ้านคอยซัพพอร์ตร้านค้าออนไลน์จากทีม Customer Service และทีม IT Support พร้อมดูแลคุณตลอด 365 วัน เพื่อให้ออเดอร์ที่เกิดขึ้นถูกจัดการได้อย่างราบรื่นและจัดส่งได้ทันตามเกณฑ์ SLA อย่างแน่นอน

MyCloud Fulfillment ช่วยจัดการออเดอร์จำนวนมาก 

สรุปบทความ 

คำถามที่ว่า ขายของใน tiktok ส่งของยังไง นั้นมี 2 วิธีหลัก คือจัดส่งผ่านแพลตฟอร์ม ที่สะดวกสบายเพราะเชื่อมต่อกับระบบขนส่งของ TikTok Shop และจัดส่งโดยผู้ขาย ที่ให้อิสระในการจัดการขนส่งเอง แต่ต้องรับผิดชอบในการอัปเดตข้อมูลเข้าระบบ การเลือกวิธีที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับขนาด ลักษณะของสินค้าและความพร้อมของแต่ละร้านค้า สิ่งสำคัญคือการทำความเข้าใจขั้นตอนและจัดการออเดอร์ให้ทันตามกำหนดเวลา เพื่อสร้างประสบการณ์ที่ดีให้กับลูกค้า และหากคุณต้องการยกระดับการจัดการออเดอร์ให้เป็นมืออาชีพ ลดปัญหาการจัดส่ง และมีเวลาไปพัฒนาธุรกิจมากขึ้น การเลือกใช้บริการคลังสินค้าออนไลน์ Fulfillment อย่าง MyCloud Fulfillment ก็เป็นทางเลือกที่ตอบโจทย์ ช่วยให้การขายของใน TikTok Shop ของคุณเติบโตได้อย่างยั่งยืน 

บทความที่เกี่ยวข้อง

อ่านเพิ่มเติม

ขายของออนไลน์ เสียภาษีอย่างไร? พร้อม 4 วิธีลดต้นทุน ประหยัดภาษีก่อนสิ้นปีนี้!

ขายของออนไลน์ ไม่มีหน้าร้านต้องเสียภาษีหรือไม่ ? ในปัจจุบันมีหลาย ๆ คนเริ่มเป็นพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์กันมากขึ้น โดยช่องทางยอดฮิตก็หนีไม่พ้น TikTok Shop, Lazada และ Shopee แน่นอนค่ะ พอเริ่มมีรายได้มากขึ้น สงสัยกันไหมคะว่าขายบน Marketplace แบบนี้ต้องเสียภาษีหรือไม่ เสียอย่างไร ? MyCloud รวบรวมมาให้ไว้หมดแล้ว พร้อมวิธีการยื่นภาษีไปอ่านกันได้เลยค่ะ   ไม่ว่าขายออนไลน์ช่องทางใดก็แล้วแต่ ต้องเสียภาษีนะคะ ถึงแม้ว่ายอดของคุณจะไม่ถึง 1,800,000 ต่อปี แต่ยื่นไว้ก่อนก็ไม่เสียหาย ไม่อย่างนั้นอาจโดนสุ่มเรียกย้อนหลังได้ค่ะ แล้วสรรพากรรู้ข้อมูลของเราได้อย่างไร? แน่นอนค่ะว่าผู้ให้บริการทางการเงินของเรา เป็นผู้ส่งให้กับทางสรรพากรโดยจะมีหลักเกณฑ์ คือมีเงินเข้าในบัญชีของเราเกิด 3,000 ครั้งต่อปี/ผู้ให้บริการ โดยผู้ให้บริการทางการเงินไม่ใช่ธนาคารต่าง ๆ แต่นับรวมถึง Lazada Shopee และกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Wallet) ด้วยเช่นกัน หากไม่ถึง 3,000 ครั้งแต่มากกว่า 400 ครั้งต่อปี และมียอดเงินเข้าดังกล่าวรวมแล้วเกิน 2 ล้านบาทขึ้นไปก็โดนส่งข้อมูลให้สรรพากรนะคะ เพราะฉะนั้นยื่นภาษี และเก็บหลักฐานไว้ให้ครบถ้วนสบายใจที่สุดค่ะ   ขายของออนไลน์ ต้องเสียภาษีแบบไหน?  […]

Marketplace หรือ Social Commerce ขายที่ไหนกำไรดีกว่า?

ในยุคที่การขายออนไลน์เติบโตอย่างรวดเร็ว คำถามสำคัญที่พ่อค้าแม่ค้าหลายคนมักจะถามตัวเองคือ “ควรขายผ่าน Marketplace หรือ Social Commerce เพื่อให้ได้กำไรมากที่สุด?” ก่อนที่จะรู้คำตอบนั้นก็ควรจะรู้ก่อนว่าแต่ละช่องทางนั้นมีข้อดีและข้อเสียที่ต่างกันอย่างไร แล้วช่องทางไหนที่เหมาะกับธุรกิจของคุณมากที่สุด? บทความนี้จะช่วยเปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดเจน พร้อมคำแนะนำที่ช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้น! Marketplace คืออะไร? ข้อดีและข้อเสีย Marketplace คือแพลตฟอร์มที่รวบรวมผู้ขายและผู้ซื้อมาไว้ในที่เดียว เช่น Lazada, Shopee, และ TikTok Shop ซึ่งกลายเป็นที่นิยมในหมู่ผู้ขายออนไลน์เพราะสามารถเข้าถึงลูกค้าได้จำนวนมากในเวลาอันสั้น ข้อดีของ Marketplace 1.เข้าถึงฐานลูกค้าขนาดใหญ่ เพราะมีจำนวนผู้ใช้งานที่เยอะมากและหลากหลายทั้งในแง่ของเพศ อายุ และความสนใจ ทำให้โอกาสที่สินค้าของคุณจะถูกพบเห็นและซื้อมีสูง อีกทั้งยังมีฟีเจอร์ช่วยโปรโมตสินค้า เช่น การแสดงสินค้าในหน้าแนะนำ (Recommended), การจัดอันดับสินค้ายอดนิยม, หรือฟังก์ชัน Search ที่ช่วยให้ลูกค้าเจอสินค้าคุณง่ายขึ้น และมีผู้ใช้งานทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง คุณจึงสามารถขายสินค้าและทำการตลาดได้ต่อเนื่องโดยไม่จำเป็นต้องรอช่วงเวลาหรือกิจกรรมพิเศษ 2.ระบบจัดการที่สะดวก ระบบจัดการที่สะดวก มีเครื่องมือที่ช่วยในเรื่องของการชำระเงิน การจัดส่ง และโปรโมชั่น –การชำระเงิน (Payment) มีระบบชำระเงินอัตโนมัติที่รองรับการจ่ายเงินหลากหลายช่องทาง เช่น บัตรเครดิต/เดบิต, โอนผ่านธนาคาร, และ […]

ขายของออนไลน์ เสียภาษีอย่างไร? พร้อม 4 วิธีลดต้นทุน ประหยัดภาษีก่อนสิ้นปีนี้!

ขายของออนไลน์ ไม่มีหน้าร้านต้องเสียภาษีหรือไม่ ? ในปัจจุบันมีหลาย ๆ คนเริ่มเป็นพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์กันมากขึ้น โดยช่องทางยอดฮิตก็หนีไม่พ้น TikTok Shop, Lazada และ Shopee แน่นอนค่ะ พอเริ่มมีรายได้มากขึ้น สงสัยกันไหมคะว่าขายบน Marketplace แบบนี้ต้องเสียภาษีหรือไม่ เสียอย่างไร ? MyCloud รวบรวมมาให้ไว้หมดแล้ว พร้อมวิธีการยื่นภาษีไปอ่านกันได้เลยค่ะ   ไม่ว่าขายออนไลน์ช่องทางใดก็แล้วแต่ ต้องเสียภาษีนะคะ ถึงแม้ว่ายอดของคุณจะไม่ถึง 1,800,000 ต่อปี แต่ยื่นไว้ก่อนก็ไม่เสียหาย ไม่อย่างนั้นอาจโดนสุ่มเรียกย้อนหลังได้ค่ะ แล้วสรรพากรรู้ข้อมูลของเราได้อย่างไร? แน่นอนค่ะว่าผู้ให้บริการทางการเงินของเรา เป็นผู้ส่งให้กับทางสรรพากรโดยจะมีหลักเกณฑ์ คือมีเงินเข้าในบัญชีของเราเกิด 3,000 ครั้งต่อปี/ผู้ให้บริการ โดยผู้ให้บริการทางการเงินไม่ใช่ธนาคารต่าง ๆ แต่นับรวมถึง Lazada Shopee และกระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ (e-Wallet) ด้วยเช่นกัน หากไม่ถึง 3,000 ครั้งแต่มากกว่า 400 ครั้งต่อปี และมียอดเงินเข้าดังกล่าวรวมแล้วเกิน 2 ล้านบาทขึ้นไปก็โดนส่งข้อมูลให้สรรพากรนะคะ เพราะฉะนั้นยื่นภาษี และเก็บหลักฐานไว้ให้ครบถ้วนสบายใจที่สุดค่ะ   ขายของออนไลน์ ต้องเสียภาษีแบบไหน?  […]

Marketplace หรือ Social Commerce ขายที่ไหนกำไรดีกว่า?

ในยุคที่การขายออนไลน์เติบโตอย่างรวดเร็ว คำถามสำคัญที่พ่อค้าแม่ค้าหลายคนมักจะถามตัวเองคือ “ควรขายผ่าน Marketplace หรือ Social Commerce เพื่อให้ได้กำไรมากที่สุด?” ก่อนที่จะรู้คำตอบนั้นก็ควรจะรู้ก่อนว่าแต่ละช่องทางนั้นมีข้อดีและข้อเสียที่ต่างกันอย่างไร แล้วช่องทางไหนที่เหมาะกับธุรกิจของคุณมากที่สุด? บทความนี้จะช่วยเปรียบเทียบให้เห็นภาพชัดเจน พร้อมคำแนะนำที่ช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้น! Marketplace คืออะไร? ข้อดีและข้อเสีย Marketplace คือแพลตฟอร์มที่รวบรวมผู้ขายและผู้ซื้อมาไว้ในที่เดียว เช่น Lazada, Shopee, และ TikTok Shop ซึ่งกลายเป็นที่นิยมในหมู่ผู้ขายออนไลน์เพราะสามารถเข้าถึงลูกค้าได้จำนวนมากในเวลาอันสั้น ข้อดีของ Marketplace 1.เข้าถึงฐานลูกค้าขนาดใหญ่ เพราะมีจำนวนผู้ใช้งานที่เยอะมากและหลากหลายทั้งในแง่ของเพศ อายุ และความสนใจ ทำให้โอกาสที่สินค้าของคุณจะถูกพบเห็นและซื้อมีสูง อีกทั้งยังมีฟีเจอร์ช่วยโปรโมตสินค้า เช่น การแสดงสินค้าในหน้าแนะนำ (Recommended), การจัดอันดับสินค้ายอดนิยม, หรือฟังก์ชัน Search ที่ช่วยให้ลูกค้าเจอสินค้าคุณง่ายขึ้น และมีผู้ใช้งานทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง คุณจึงสามารถขายสินค้าและทำการตลาดได้ต่อเนื่องโดยไม่จำเป็นต้องรอช่วงเวลาหรือกิจกรรมพิเศษ 2.ระบบจัดการที่สะดวก ระบบจัดการที่สะดวก มีเครื่องมือที่ช่วยในเรื่องของการชำระเงิน การจัดส่ง และโปรโมชั่น –การชำระเงิน (Payment) มีระบบชำระเงินอัตโนมัติที่รองรับการจ่ายเงินหลากหลายช่องทาง เช่น บัตรเครดิต/เดบิต, โอนผ่านธนาคาร, และ […]